รีวิว Resident Evil
หลังประกาศปิดตำนานแฟรนไชส์ ‘Resident Evil’ ไปกับภาค ‘Resident Evil The Final Chapter’ เมื่อปี 2016 คงไม่มีใครทันนึกได้ถึงวลีที่ว่า “ปิดตำนานก็คือยังทำต่ออยู่” เพราะด้วยตัวเลขรายได้มหาศาลที่แฟรนไชส์ทำเงินแบบไม่สนคำวิจารณ์ที่ต่ำเตี้ยลงทุกภาคก็มีส่วนทำให้โซนี พิคเจอร์ส (Sony Pictures) ตัดสินใจรีบูตหนังขึ้นมาใหม่ด้วยการนำเรื่องราวของเกมภาค 1 และ 2 รวมถึงการนำตัวละครจากเกมที่ยังอยู่ในใจแฟน ๆ มาขึ้นจอโดยพยายามคงบรรยากาศของเกมต้นฉบับให้มากที่สุด
หลังจากที่ปิดฉากผีชีวะในยุคของ “มิลลา โยโววิช” ลงไป หนังชุดนั้นก็ใช่ว่าจะเป็นแฟรนไชส์อันทรงคุณค่าและสร้างความน่าประทับใจได้มากมายสักเท่าไหร่ เพราะช่วงหลังเกือบจะหลุดออกทะเลไปเสียแล้ว แต่ โซนี่ ก็ยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ เพราะพวกเขายังหยิบเรื่องราวในจักรวาลนี้มาเล่าใหม่
ในรูปแบบเชิงรีบูตใหม่ใน “Resident Evil: Welcome to Racoon City” (ผีชีวะ ปฐมบทแห่งเมืองผีดิบ) ที่มาทำหน้าที่เป็นสารตั้งต้น ย้อนเล่าจุดกำเนิดการอุบัติของหายนะทั้งหมด ที่ดูทรงเหมือนจะเคารพต้นฉบับวิดีโอเกม แต่รสชาตินั้น…ฝาดชะมัด เว็บหนัง
รีวิว Resident Evil
Resident Evil: Welcome to Raccoon City เล่าเรื่องราวย้อนกลับไปในช่วงปลายยุค 90s ที่ครั้งหนึ่ง Raccoon City เคยเป็นบ้านที่แสนเฟื่องฟูของ Umbrella Corporation บริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ แต่ตอนนี้กลายเป็นเมืองแถบมิดเวสต์ที่กำลังจะตายลง การอพยพของบริษัทนี้ทำให้เมืองกลายเป็นเมืองร้าง
พร้อมด้วยปีศาจที่โผล่พ้นขึ้นมาสู่ผิวดลก เมื่อปีศาจถูกปลดปล่อย เหล่าชาวเมืองก็ได้ ‘เปลี่ยนแปลง’ ไปตลอดกาล โดยมีคนกลุ่มหนึ่งที่รอดชีวิต พวกเขาต้องหันมาร่วมมือกันเพื่อเปิดโปงความจริงเบื้องหลัง Umbrella และเอาตัวรอดให้ผ่านพ้นค่ำคืนนี้ไปให้ได้
ที่เกริ่นเอาไว้บนพาดหัวของรีวิวหนังก็คงไม่ได้กล่าวเกินจริงอะไรเลย เพราะว่า Resident Evil: Welcome to Racoon City เป็นหนังที่ค่อนข้างน่าเบื่อเสียเหลือเกิน เต็มไปด้วยลูกเล่นซ้ำๆ เดิมๆ ที่พบเจอในหนังตระกูลซอมบี้ จึงกลายออกมาเป็นหนังที่ดูเชยไปทุกย่างก้าวที่ถ่ายทอดออกมา การดำเนินเรื่องเหมือนจะไม่ช้า แต่ก็ค่อนข้างช้าเพราะเป็นการเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหายนะเท่านั้น
“โยฮันเนส โรเบิร์ตส์” ที่ขึ้นมาจากทะเลสู่ฝั่งแรคคูนซิตี้ ที่เขาได้มาย่ำยีหัวใจของแฟนๆ วิดีโอเกมชุดนี้เหลือเกิน เขาทำหน้าที่ทั้งกำกับและเขียนบทหนังเรื่องนี้ แต่ดูเหมือนว่าวิสัยทัศน์โดยรวมของเขายังไม่สามารถแบกรับหนังเรื่องนี้เอาไว้ได้ ภาพรวมที่ออกมาจึงไม่ต่างไปจากหนังที่เล่าเรื่องแคบๆ ชวนอึดอัดๆ ที่ไร้เสน่ห์บนหน้าจออย่างสิ้นเชิง เป็นช่วงเวลาชั่วโมงกว่าๆ ในการดูหนังเรื่องนี้ที่อยากหยิบโทรศัพท์มาไถ่อัปเดตฟีดข่าวทันกระแสยังจะดูมีประโยชน์มากกว่า เว็บดูหนัง
จังหวะของหนัง Resident Evil: Welcome to Raccoon City ยังทำได้ไม่ถึงสุด หนังพยายามที่ใส่ความสยองขวัญแบบหนังยุคก่อนเข้าไปผสมๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ทิ้งความเป็นหนังซอมบี้ไปไม่ได้ ความพยายามทั้งหมดกลายเป็นเพียงแค่อารมณ์ครึ่งๆ กลางๆ หนังทำได้ไม่สุดเลยสักทางเดียว จะชวนหลอนในตกใจก็ไม่ทำไม่ถึง จะขยะแขยงกับปีศาจที่ใส่เข้ามาก็ยังไม่ไหว ทุกๆ สิ่งในหนังเรื่องนี้จึงกลายเป็นโทนที่แบนราบและไม่รู้สึกตามสนุกไปด้วยเลย
และมาได้เจอกับแคสติ้งหลักของหนังเรื่องนี้ ที่ทำให้อยากจะก้มลงไปกุมขมับ เห็นได้ชัดถึงความพยายามที่อยากจะเคารพต้นฉบับวิดีโอเกม ไม่ว่าจะใช้ตัวละครออริจินัลเข้ามา เช่น แคลร์ กับ คริส เรดฟิลด์, จิล วาเลนไทน์ หรือ อีออง เคนเนดี้ แต่ปรากฏว่าการดีไซน์ตัวละครเหล่านั้นออกมาช่างจืดชืด และไม่มีอะไรให้น่าจดจำพวกเขาได้เลยสักนิดเดียว บทหนังไม่สามารถส่งให้เข้าถึงตัวละครแทบจะทุกตัว ไร้เสน่ห์และอารมณ์ร่วมอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นจึงทำให้ “คายา สโคเดลาริโอ”, “ร็อบบี้ เอเมลล์”, “แฮนนาห์ จอห์น-คาเมน” หรือ “ทอม ฮอปเปอร์” ใช้เพียงแค่พลังความสตาร์ในตัวพวกเขามาขับเคลื่อนหนังเรื่องนี้ เพราะบทบาทที่พวกเขาได้รับนั้น แทบจะไม่เข้ากับตัวพวกเขาเลย กลายเป็นเพียงการสวมบทบาทและแสดงไปให้จบๆ เพียงเท่านั้น ไม่ได้มีชั้นเชิงและเสน่ห์ใดๆ ที่พวกเขาสามารถขับออกมาได้จากตัวละครที่เป็นไอคอนหลักประจำหนังชุดเลย
อันที่จริงโครงเรื่องในหนัง Resident Evil: Welcome to Raccoon City ถือว่าค่อนข้างสนใจ เพราะต้องมีใครใคร่อยากรู้ถึงต้นสายปลายเหตุของอุบัติภัยที่เกิดขึ้น ที่เป็นต้นตอของหนังแฟรนไชส์ชุดที่แล้ว แต่กลายเป็นว่าภาคต้นภาคนี้กลับตอบโจทย์ผู้ชมยังไม่ได้ เจาะเข้าไปไม่ถึงจุด และเป็นเพียงแค่การเล่าเรื่องแบบผิวเผินที่พยายามที่สร้างความสยองและบิ้วความสนุกเกินไป จนกลายเป็นความไม่สนุก
อย่างน้อยๆ แล้ว Resident Evil: Welcome to Raccoon City ก็กลายเป็นสิ่งที่ทำให้หนัง Resident Evil ฉบับของ มิลลา โยโววิช ดูดีขึ้นมาเป็นกองเลย อย่างน้อยๆ เวอร์ชั่นก่อนก็ยังมีจุดเด่นและเสน่ห์ในตัวที่แฟนๆ ใฝ่หา แต่กลับในเรื่องนี้นั้น ยังไม่ใช่การแก้โจทย์สมการที่น่าจะเข้ากับแฟนๆ ได้ดีเท่าไหร่ที่ควร ก็เป็นเพียงหนังซอมบี้จังหวะเชยๆ ที่บอกเลยว่าเชยสะบัดตั้งแต่นาทีแรกที่เปิดเรื่องขึ้นมาก็ว่าได้… เว็บดูหนังฟรี
ความรู้สึกหลังดูแต่ละฉาก
หนังเริ่มเรื่องด้วยการแนะนำให้เราได้รู้จักกับคริสและแคลร์ เรดฟิล์ดพี่น้องที่ต้องอาศัยในบ้านเด็กกำพร้าเมืองแร็กคูนซิตี้ได้พบเหตุการณ์แปลกประหลาดบางอย่างและด้วยเหตุการณ์บางอย่างก็ทำให้แคลร์ต้องหนีออกจากแร็กคูนซิตี้ ก่อนที่เหตุการณ์จะตัดไปในปี 1998 ที่แคลร์ (รับบทโดย คายา สโคเดลาริโอ Kaya Scodelario) ได้โบกรถกลับมายังแร็กคูนซิตี้ ระหว่างทางนั้นเองที่รถบรรทุกที่เธอขอโดยสารชนเข้ากับหญิงสาวรายหนึ่งอย่างจังแต่พอลงไปดูก็พบว่าบนท้องถนนกลับว่างเปล่า
และเมื่อมาถึงเมืองแร็กคูนซิตี้เราก็พบว่าแท้จริงแล้ว แคลร์ได้เดินทางกลับมาหาคริส (รับบทโดย รอบบี เอเมล Robbie Amell) พี่ชายนายตำรวจของเธอเพื่อนำความจริงเรื่องอัมเบรลลา คอร์เพอเรชัน (Umbrella Corporation) แอบปนเปื้อนสารพิษในน้ำประปาของประชาชนจนเป็นสาเหตุของโรคระบาดบางอย่างที่กำลังจะเปลี่ยนคนให้กลายเป็นอสุรกาย
แต่ก็เหมือนคริสจะไม่สนใจและเดินทางไปยังสถานีตำรวจเพื่อสมทบกับ จิล วาเลนไทน์ (รับบทโดย ฮันนาห์ จอห์น คาเมน Hannah John-Kamen) ตำรวจสาวห้าวที่เขาแอบมีใจให้ แต่วาเลนไทน์กลับมีใจให้เพียงแค่ อัลเบิร์ต เวสเกอร์ (รับบทโดยทอม ฮอปเพอร์ Tom Hopper) ตำรวจหนุ่มล่ำสุดขรึม และยังมี ลีออน เอส เคนเนดี (รับบทโดย เอวาน โจเกีย Avan Jogia) ตำรวจหน้าใหม่ที่ต้องมารับมือกับสถานการณ์นรกแตกในแร็กคูนซิตี และเป็นแคลร์ เรดฟิล์ดที่อาจไขความลับอันดำมืดด้วยอดีตอันโหดร้ายก่อนที่พวกเขาจะต้องหนีตายจากการล้างบางเมืองต้องคำสาปอย่างแร็กคูนซิตี้แห่งนี้
ความจริงแล้วด้วยชื่อของ โยฮันเนส โรเบิร์ตส์ (Johannes Roberts) ไม่ใช่ชื่อที่ขี้เหร่เลยนะสำหรับการมาสานต่อตำนานบทใหม่ของ ‘ผีชีวะ’ คราวนี้และการที่โรเบิร์ตส์ลงมือจรดปากกาเขียนบทเองเหมือนทุกครั้งอย่างน้อยก็มั่นใจว่าเราจะได้เห็นซีนซอมบี้ผีดิบน่ากลัว ๆ หรือลุ้นจนอกแทบตายคล้าย ๆ กับงานสร้างชื่ออย่างหนังเชือดโคตรระทึก ‘Strangers Prey at Night’ หรือหนังฉลามสุดกดดันอย่าง ’47 Meters Down’ ซึ่งผลลัพธ์ก็ต้องยอมรับล่ะว่าการพยายามกลับไปหาเนื้อเรื่องเกมต้นฉบับและอิงรายละเอียดจากเกมฉบับรีเมกช่วยสร้างบรรยากาศที่ดูน่ากลัวขึ้นมาได้จริง ๆ
แต่ทุกอย่างก็ค่อย ๆ พังครืนด้วยการที่โรเบิร์ตส์พยายามยัดทุกอย่างเพื่อเอาใจแฟนเกมลงในหนัง ลำพังแค่ฉากที่แคลร์เจอศพแอบวิ่งหนีเธอก็ชวนส่ายหัวจนอยากหาพารามาบรรเทาอาการจะแย่อยู่แล้ว ยิ่งหนังเดินเรื่องไปเราก็พบว่ามันพยายามผูกปมมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งปมการหนีออกจากแร็กคูนซิตี้จากแคลร์ หรือการที่คริสเองถูกเลี้ยงมาโดย วิลเลียม เบอร์กิน (รับบทโดย นีล แมคโดนาฟ Neal McDonough) นักวิทยาศาสตร์ที่เคยเกือบพรากชีวิตแคลร์ในวัยเด็ก ไปจนถึงปมสุดอีรุงตุงนังที่หนังไม่สนใจจะคลี่คลายมันสักเท่าไหร่
และเมื่อปมเริ่มเยอะขึ้น ซ้อนทับขึ้น คนทำหนังก็กลับตัดมันทิ้งแบบไม่เหลือเยื่อใยแล้วยัดเยียดฉากหนีซอมบี้เข้ามากลบเกลื่อนพล็อตที่มีแต่รูโหว่เต็มไปหมดได้ไม่ค่อยแนบเนียบเท่าไหร่จนผลลัพธ์ของมันคือการกลายเป็นหนังซอมบี้จากเกมที่เหมือนจำลองฉากมาต่อ ๆ กัน ซึ่งแม้จะสร้างความบันเทิงได้ชั่วครั้งชั่วคราวแต่จบแล้วก็พร้อมจะลืมในทันที
สิ่งที่น่าสนใจคือหนังตั้งใจที่จะชูเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครแคลร์และคริส เรดฟิลด์ ด้วยการเปิดเรื่องราวมาที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แถมยังให้แอร์ไทม์กับตัวละครสุดสะพรึงจากในเวอร์ชั่นเกมกับลิซ่า เทรเวอร์อีกด้วย แต่น่าเสียดายที่ตัวละครตัวอื่นๆ อาทิ ลีออน เอส. เคนเนดี้ ที่ในเวอร์ชั่นเกมถึงเขาจะตื่นสายและไปเข้างานไม่ทัน แต่เขาก็ยังสมาร์ท หล่อ เท่และดูไม่เป็นไอ้เห่ยแบบในเวอร์ชั่นนี้ ยังไม่รวมไปถึงตัวละครอย่างจิล วาเลนไทน์ ที่ถูกตีความใหม่เป็นสาวจอมห้าวสุดกวนโอ้ย ห่างไกลจากเวอร์ชั่นเกมไปหลายขุม (จิล ใน Resident Evil: Apocalypse ซึ่งแสดงโดยเซียนน่า กิลลอรี่ ยังมีความใกล้เคียงกว่ามากๆ)
การตีความตัวละครใหม่ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า วิธีการดีไซน์ตัวละครเหล่านี้ให้ออกมาดูไม่ทำร้ายจิตใจแฟนเกมน่าจะเป็นความสำคัญในลำดับต้นๆ ยิ่งไปกว่านั้นการที่หนังแทบจะไม่ได้ให้เวลาผู้ชมได้ทำความรู้จักกับตัวละครเหล่านี้อย่างที่ควรจะเป็น ยิ่งทำให้บรรดาฉากแอ็คชั่นปนสยองขวัญที่ควรจะเต็มไปด้วยความลุ้นระทึก ยิ่งกลายเป็นว่าตัวละครเอกเหล่านี้ ดูแทบจะไม่เหลืออะไรที่สมควรจะได้รับการเอาอกเอาใจช่วยเลย เว็บหนังฟรี