รีวิว Scream 5

รีวิวหนังฮิต สวัสดีจ้า ทุกคน วันนี้อยู่กับ แอด บีอีกแล้ว วันนี้เราจะ มารีวิว หนัง ฝรั่ง แนว สยอง ขวัญกันบ้างดีกว่า เอาใจ แฟนๆ หนังสยองขวัญกัน เถอะ …. ฮ่าๆๆๆ แต่ว่าเนื้อ เรื่องจะเป็นอย่างไรนั้น ? ไปอ่านรีวิวจาก แอดบีได้เล้ยยย ลุยย……
รีวิว Scream 5
เรื่องย่อ เรื่องราวต่อเนื่องหลังเหตุฆาตกรรมโหดร้ายอันโด่งดัง ณ เมืองวูดส์โบโร (Woodsboro) ในครั้งนี้ ‘ไอ้หน้าผี’ (Ghostface) รายใหม่กลับมาไล่เชือดคนอีกครั้ง การตามไล่ล่าโฉมหน้าที่แท้จริงของฆาตกรจึงเริ่มขึ้น และพบว่าการกลับมาของไอ้หน้าผีนั้นเกี่ยวพันกับเหตุฆาตกรรมเมื่อ 25 ปีก่อน ทำให้ 3 เพื่อนผู้รอดตายจากไอ้หน้าผีในครั้งก่อนทั้ง
‘ซิดนีย์ เพรสก็อต’ (Neve Campbell), ‘ดิวอี ไรลีย์’ (David Arquette) และ ‘เกล เวเธอร์ส’ (Courteney Cox) ต้องกลับมาร่วมกันไล่ล่าไอ้หน้าผี และรื้อฟื้นเรื่องราวในอดีตที่สืบทอดและเชื่อมโยงมาถึงปัจจุบันอีกด้วย
รีวิว Scream 5
ไม่ว่า ‘SCREAM หวีดสุดขีด’ จะอยู่ในฐานะไหนสำหรับคนดูภาพยนตร์อย่างเรา ๆ มันอาจอยู่ในฐานะของหนังแฟรนไชส์แนวเชือด (Slasher) ในตำนานของยุค 90’s มันอาจเป็นเพียงหนังสยองขวัญที่มองข้ามไป หรือไม่ มันก็อาจอยู่ในฐานะมีมตลก (“วอตซ่าบบบบ ! “) ใน ‘Scary Movie’ (2000) แต่ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะไหน คิดเหมือนกันกับผู้เขียนไหม
ครับว่า สุดท้ายแล้วตำนานฆาตกรรมโดยฆาตกรที่อยู่ภายใต้หน้ากากยาง หรือ ‘ไอ้หน้าผี’ (Ghostface) ที่ยังไง้ยังไงมันก็ไม่ยอมตายไปง่าย ๆ เสียที และในปีนี้ มันกลับมาเชือดเป็นครั้งที่ 5 แล้ว เพียงแต่ว่าไม่ได้ใช้ห้อยท้ายว่าเป็น “ภาค 5” นะครับ แต่ใช้ชื่อว่า ‘SCREAM’ ทื่อ ๆ เลย เหมือนกับ ‘SCREAM’ (1996) ภาคแรกที่เป็นตำนานไปแล้วนั่นแหละ
ในภาคนี้ถือเป็นการยกเครื่องทีมงานใหม่ด้วย เพราะเจ้าพ่อหนังสยองขวัญอย่าง ‘เวส คราเวน’ (Wes Craven) ผู้กำกับทั้ง 4 ภาคจากไปแล้วเมื่อปี 2015 ในภาคนี้เลยได้คู่หูผู้กำกับ ‘แมตต์ เบ็ตติเนลลี-โอลพิน’ (Matt Bettinelli-Olpin และ ‘ไทเลอร์ กิลเลตต์’ (Tyler Gillett) ที่เคยกำกับ ‘Ready or Not’ (2019) มาร่วมงาน ส่วนคนเขียนบทหนังทั้ง 4
ภาค และเจ้าของคาแรกเตอร์ดั้งเดิมอย่าง ‘เควิน วิลเลียมสัน’ (Kevin Williamson) ก็ถอยมาเป็นที่ปรึกษางานสร้าง และแปะมือส่งให้ ‘เจมส์ แวนเดอร์บิลต์’ (James Vanderbilt) และ ‘กาย บูซิก’ (Guy Busick) ทีมผู้เขียนบทหนังจาก ‘Ready or Not’ มาเขียนบทให้เช่นเดียวกัน
ใน ‘SCREAM’ ภาคที่ 5 นี้ ตัวหนังยังคงพาเรากลับไปสู่เมืองเล็ก ๆ แสนสงบสุขที่ชื่อว่าวูดส์โบโร (Woodsboro) ที่ปัจจุบันเต็มไปด้วยวัยรุ่นเจน Z แต่ไม่ว่าจะทันสมัยแค่ไหน ไอ้หน้าผีก็ยังกลับมาก่อเหตุอาละวาดอีกครั้ง หนึ่งในเหยื่อเคราะห์ร้ายก็คือ ‘ทารา’ (Jenna Ortega) น้องสาวของ ‘แซม’ (Mikey Madison) ที่หนีออกไปจากเมืองด้วยเหตุผลบาง
อย่าง จนเมื่อเธอกลับมา แก๊งเพื่อน ๆ ของทาราจึงเริ่มสงสัยกันเองว่าใครกันแน่ที่เป็นฆาตกร แซมเลยไปขอความช่วยเหลือจาก ‘ดิวอี ไรลีย์’ (David Arquette), ‘เกล เวเธอร์ส’ (Courteney Cox) และแม่บ้านเต็มเวลา อย่าง ‘ซิดนีย์ เพรสก็อต’ (Neve Campbell) เหล่าตัวพ่อตัวแม่ที่เคยกระชากหน้ากาก Ghostface มาแล้ว 4 ภาค เพื่อกลับมากระซวกไอ้หน้าผีอีกครั้งให้จงได้ ก่อนที่มันจะออกไปกระซวกชาวบ้านชาวเมืองไปมากกว่านี้

รีวิว Scream 5

รีวิว Scream 5

อย่างแรกที่ผู้เขียนเองต้องเอาปากกามาวงก็คือ หนังเรื่องนี้ไม่ได้ถึงกับเป็นภาคต่อของ ‘SCREAM 4’ (2011) หรือ 12 ปีที่แล้วนะครับ เพราะแทบไม่มีเหตุการณ์ไหนต่อมาจากภาคนั้นเลยด้วยซ้ำ ในภาคนี้หนังจึงใช้คำว่า ‘Requel’ ที่เป็นลูกผสมของ ‘Reboot’ (หยิบหนังเก่ามาสร้างใหม่) และ ‘Sequel’ (หนังภาคต่อ) แต่เอาจริง ๆ ตัวหนังก็เน้นหนักไป
ทาง ‘รีบูต’ ซะมากกว่า เพราะตัวหนังในภาคนี้แม้จะมีเรื่องราวใหม่ แต่ก็ยังดึงเอากลิ่นอายและวิธีการเล่าเรื่องมาจากภาคแรกกลับมาใช้งานแบบที่เรียกว่า “โฉ่งฉ่าง” เลยแหละ ไม่ว่าจะเป็นธีมการ ‘รู้ (ไม่) ทันหนังเชือด’ ที่เคยใช้ได้ผลมาแล้วในภาคแรก
ส่วนในภาคนี้ ตัวหนังเลือกใช้การตัดต่อ ไดอะล็อก และมุมกล้องในการสับขาหลอกเพื่อปั่นหัวทั้งตัวละครและคนดูอย่างเรา ๆ ให้เราเดาโน่นเดานี่ไปเรื่อย (และย้อนกลับมาจิกกัดตัวเองอีกที) ว่าใครเป็นไอ้หน้าผีกันแน่ พร้อมกับไดอะล็อกที่ยังคงจิกกัดวงการบันเทิง (และย้อนกลับมาจิกกัดตัวเองอีกที) จิกกัด “หนังภาคต่อ” ของชาวบ้านชาวช่อง (และย้อน
กลับมาจิกกัดตัวเองอีกที) การจิกกัดขนบหนัง Slasher ทั้งยุคเก่าและยุคใหม่ (และก็ย้อนกลับมาจิกกัดตัวเองอีกที) รวมถึงเรื่องราวและสถานที่ที่แทบจะเหมือนกับภาคแรกเด๊ะ ซึ่งถือเป็นแฟนเซอร์วิสที่แฟนเดนตายดูยังไงก็กรี๊ดแน่นอน เพราะว่าขนบและแก่นแบบในหนังต้นฉบับนี่เรียกว่ากลับมาแบบครบ ๆ เลย
และพอมันเป็นหนังรีบูตเพื่อเอาใจแฟนหนัง ตัวหนังก็เลยยังยึดแนวทางการไล่เชือดกันโต้ง ๆ เลยครับ คือก็ต้องชื่นชมก่อนเบื้องต้นนะครับว่า ตัวหนังเองก็กล้ามากพอที่จะหยิบ
เอาความเป็นออริจินัลมาเสริมลูกเล่นเข้าไปให้ทันสมัย ทั้งเรื่องของจังหวะหนัง บท และการตัดต่อ การใส่ Jump Scare ที่ขยันหมั่นเพียรในการสับขาหลอกและปั่นหัวคนดูให้
(เหมือนจะตามทันแต่) ตามไม่ทัน การปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อการตามล่าและเอาตัวรอด ตัว Ghostface ในภาคนี้ที่ทั้งฉลาด มีลูกล่อลูกชน เหี้ยมโหด รวมทั้งการดำเนินเรื่อง การจัดองค์ประกอบภาพ การสร้างบรรยากาศความน่ากลัวและไม่น่าไว้วางใจที่ให้ความรู้สึกถึงหนัง Slasher ยุคใหม่ที่ดูแล้วถึงใจและสะใจแน่นอน หนังฟรี  หนังใหม่

ความรู้สึกส่วนตัว

พร้อมกับการแอบจิกกัดยั่วล้อไลฟ์สไตล์ของเจน Y และ Gen Z ไปด้วยในตัว ซึ่งเอาจริง ๆ มันก็ทำให้หนังภาคนี้มีความสนุกขึ้น และเหมาะกับยุคนี้มากขึ้นเป็นกอง รวมทั้งองก์สุดท้ายของหนังที่ผู้เขียนเองชื่นชมเลยว่า สามารถเดินเรื่องได้ระทึกมากครับ ส่วนตัวผู้เขียนชอบองก์สุดท้ายของภาคนี้พอ ๆ กับภาคแรกเลย แถมยังมีฉากให้อ้าปากค้างเกี่ยวกับตัวละครบางตัวด้วยว่า เอ็งทำแบบนี้ก็ได้เหรอ (วะเนี่ย) รวมทั้งการจิกกัดความเป็นแฟนเซอร์วิสด้วย ซึ่งผู้เขียนก็เล่ามากไม่ได้นะครับ เดี๋ยวสปอยล์
และแน่นอนว่า พอมันถูกเอามาใช้กันแบบโฉ่งฉ่าง ข้อสังเกตใหญ่ ๆ ของภาคนี้ก็คือ ตัวหนังเองก็ยังคงซ้ำทางหนังเวอร์ชันดั้งเดิม คือเกิดอาการเหล้าเก่าในขวดใหม่นั่นแหละ ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่า การ ‘Requel’ ของหนังภาคนี้ แก่นแท้แล้วก็คือการหยิบเอาขนบจากหนังภาคแรกมาปัดฝุ่นและกรอกใส่ขวดใหม่กันโต้ง ๆ เลย ในแง่ของการเป็นหนังแฟนเซอร์วิส ก็ถือว่าเป็นการกวนเบื้องล่างหนังต้นฉบับได้สนุกโคตร ๆ แต่ในยุคใหม่ที่คนสร้างหนังพยายามคิดหาวิธีการ ใส่ลูกเล่น ใส่ Plot Twist ในหนังสยองขวัญและหนังฆาตกรรมกันจนหัวแทบจะแตก หนังเรื่องนี้ก็เลยออกอาการเดาทางง่ายไปหน่อยในแง่ของการเป็นหนังสยองขวัญยุคใหม่
ยิ่งถ้าเป็นแฟนที่ดูมาแล้วครบ 4 ภาคจะร้องอ๋อเลยว่า บทมันจะยังไงต่อไป แม้ว่าในองก์สุดท้ายจะระทึกมาก ๆ แต่พอเฉลยบทสรุปทั้งการเฉลยไอ้หน้าผี และเหตุผลในการไล่เชือดคนออกมาแล้ว ก็จะเข้าใจได้ทันทีเลยว่า อืม…มันก็ประมาณนี้แหละ ไม่หนีจากเดิมมาก และมันก็จะไม่ทรงพลังกระเทือนใจเหมือนกับหนังเชือดในยุคใหม่ ๆ ด้วย แม้ว่าตัว
หนังจะพยายามสับขาหลอกให้เราสนุกระหว่างทาง และฮาไปกับการล้อขนบหนังตัวเองแค่ไหนก็ตาม การขมวดจบของหนังก็ยังวนกลับมาใช้สูตรเดิม ๆ อยู่ดี บทสรุปของหนังโดยรวมมันก็เลยออกจะเชย ๆ ทื่อ ๆ ไปนิดสำหรับการเป็นหนัง Slasher ยุคใหม่
โดยสรุปแล้ว สำหรับภาคนี้ ผู้เขียนก็ยังชอบนะครับ และชอบมากกว่าภาคก่อน ๆ บางภาคด้วย ถ้าเทียบกับหนังเชือดยุคใหม่ (ที่ตัวเองก็ไปแขวะเขาด้วยนะ) ด้วยความที่ตัวหนังมันกึ่งบังคับให้เป็นหนัง ‘Requel’ มันก็เลยยังคงมีขนบและบทสรุปเชย ๆ ให้ได้เห็นอยู่ สำหรับคนที่ไม่ใช้แฟน ก็อาจจะทำให้รู้สึกไม่ว้าวเท่าไหร่ แต่ถ้ามองในแง่ของการเป็นแฟนเซอร์วิสที่ทั้งเคารพและกวนทีนหนังต้นฉบับของเวส คราเวนไปด้วยพร้อม ๆ กัน การยั่วล้อขนบหนังเชือดยุคเก่า การเชือดที่โหดสะใจ รวมทั้งการใส่จังหวะสับขาหลอกผ่านไดอะล็อกและการตัดต่อเพื่อปั่นหัวคนดู การจิกกัดฮอลลีวูด (และก็ย้อนกลับมาจิกกัดตัวเองอีกที) ที่เรียกเสียงฮาได้ชะงัดนัก
ในภาคนี้ ผู้เขียนก็ถือว่าประสบความสำเร็จในแบบของมันนะ ถึงมันจะเช้ยเชยยังไงก็ตาม แต่อย่างน้อย ๆ มันก็ยังตอกย้ำว่า ‘SCREAM’ ยังคงเป็นหนังเชือดที่เน้นความโหด การจิกกัด และกวนทีนไม่สร่างซา มีช่องให้ปูทางไปสู่จักรวาลภาคต่อชุดใหม่ และกำลังพยายามกวนทีนความเป็นหนัง Slasher แนวใหม่ไปพร้อมกัน ๆ ด้วยเหตุผลว่า ก็ตูจะทำแบบนี้ จะเชือดแบบนี้ ใครมันจะทำไมฟะ !

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *