รีวิว A Quiet Place 2 เงียบให้ถึงที่สุด

 

 

รีวิวหนังฮิต ต้องยอมรับ สุดๆ เลยว่า…ช่วงนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่หนักหน่วง อย่างแท้จริง ของวงการหนังบ้านเราจริงๆ เพราะโรงภาพยนตร์ยัง ไม่สามารถเปิดให้บริการ เข้าชมหนังได้อย่างเต็มที่ อย่างน้อยๆ ทั่วพื้นที่กรุงเทพฯ ก็ยังไม่สามารถนำหนังใหม่ออกมาฉายได้ จึงทำให้เราๆ ผู้บริโภคต้องสูญเสียโอกาสไปหลายอย่าง โดยเฉพาะการดูหนังดีๆ สักเรื่องที่ล่าช้าไปกว่าประเทศอื่นอย่างน่าเสียดาย และบางเรื่องก็จำใจต้องถอดโปรแกรมฉายออกไปแบบน่าผิดหวัง แม้ว่าที่ผ่านมา…ในเมืองไทยจะยังไม่เคยมีรายงานผู้ติดเชื้อโรคระบาดจากการดูหนังในโรงภาพยนตร์เลยก็ตาม
รีวิว A Quiet Place 2 เงียบให้ถึงที่สุด
บ่นตัดพ้อมาเรื่อยเปื่อย…ก็ขอตัดเข้าประเด็นแบบดื้อๆ เลยแล้วกัน เพราะนี่หนังใหม่ฟอร์มดี ที่น่าจะเป็นเรื่องแรกและเรื่องเดียวในรอบกว่า 2 เดือน ที่เมืองไทยห่างหายจากการฉายหนังใหม่ตามโรงภาพยนตร์ไป นั่นก็คือ “A Quiet Place 2” (ดินแดนไร้เสียง 2) ที่ค่ายหนังตัดสินใจนำร่องปล่อยหนังออกฉาย ทั้งที่โรงภาพยนตร์ในกรุงเทพฯ ยังคงปิดให้บริการอยู่ทุกแห่ง จึงทำให้นักดูหนังตามหัวเมืองก็ต้องดิ้นรนกันตามหาดูหนังเรื่องที่ย่านปริมณฑลแทน แม้จะเดินทางไม่สะดวก แต่ตัวหนังก็กลับให้ผลลัพธ์ออกมาได้สมการรอคอย
รีวิว A Quiet Place 2 เงียบให้ถึงที่สุด
A Quiet Place 2 เป็นภาคต่อจากหนังต้นฉบับปี 2018 โดยดำเนินเรื่องสานต่อจากที่ภาคแรกทิ้งเอาไว้ ตระกูลแอบบ็อตต์ ที่บัดนี้ต้องสูญเสียเสาหลักของครอบครัวไปอย่างไม่มีวันกลับ แต่คนที่ยังอยู่ก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไป พวกเขาตัดสินใจทิ้งรกรากบ้านหลังเก่าเอาไว้เบื้องหลัง และออกเดินทางตามหาแหล่งพึ่งพิงแห่งใหม่ ที่ไม่มีแม้แต่จุดหมายปลายทาง และอันตรายร่ายล้อมอยู่ตลอดเส้นทาง พวกเขาเดินมาถึงสุดทางที่ลาดทรายละเอียดเอาไว้ ซึ่งต่อไปจากนี้การย่างเท้าของพวกเขา…จะต้องเงียบเสียงเอาไว้ให้สนิท!

รีวิว A Quiet Place 2 เงียบให้ถึงที่สุด

เรื่องย่อ: แค่เงียบไม่พอให้รอด เราจะได้เห็นการเดินหน้าเอาชีวิตรอดกันต่อไปของครอบครัวเดิมในภาคแรก และพวกเขาก็จะได้รู้ว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่เหลือรอดเพียงกลุ่มเดียว เราจะได้รับคำตอบเกี่ยวกับเรื่องราวก่อนหน้านี้ที่ที่ทุกอย่างได้เริ่มเกิดขึ้นด้วย คุณกำลังจะได้เห็นอีกด้านหนึ่งของการเอาชีวิตรอดของเหล่ามนุษยชาติจากพวกอสุรกายเหล่านี้ในภาคต่อไป
ภาคต่อของ ‘A Quiet Place’ หนังฮิตแบบม้ามืดเมื่อปี 2018 เมื่อโลกถูกคุกคามโดยสัตว์ประหลาดที่ไวต่อเสียงจนทุกชีวิตบนโลกต้องแฝงตัวในความเงียบเพื่อเอาชีวิตรอด เราจะยังได้ติดตามเรื่องราวของครอบครัวแอบบ็อตต์ในภาคแรกแบบไร้ร้อยต่อ คือเอาตอนจบภาคแรกมาชนกับภาคนี้ได้เลย (แม้ตัวละครจะแอบดูโตขึ้นนิดหนึ่งก็ตาม) ซึ่งก่อนหน้านั้นเรายังจะได้เห็นเหตุการณ์ในวันแรกที่สัตว์ประหลาดบุกโลกด้วยทำให้ที่มาที่ไปของสัตว์ประหลาดดูชัดเจนขึ้น ทั้งยังจะได้เห็นหน้าคุณพ่อลี แอบบ็อตต์ ที่นำแสดงโดย จอห์น กราซินสกี (John Krasinski) ซึ่งรับหน้าที่ผู้กำกับทั้ง 2 ภาคนี้ให้หายคิดถึงด้วย
รีวิว A Quiet Place 2 เงียบให้ถึงที่สุด
แม้จะเป็นช่วงที่โรคโควิด-19 ระบาด ในหลาย ๆ พื้นที่โรงหนังยังคงปิดให้บริการ แต่ก็ต้องยอมรับแบบแรง ๆ ว่า นี่คือหนังที่ควรค่าแก่การรับชมในโรงหนังเท่านั้น ใครที่ชมภาคแรกมาแล้วน่าจะจำประสบการณ์โรงมืด ๆ เสียงเงียบกริบจนเกือบลืมหายใจ ถึงขนาดบางทีต้องกลั้นใจตามตัวละครไม่ให้ได้ยินแม้แต่เสียงหายใจ ความสนุกตื่นเต้นที่ได้จากทั้งภาพและเสียง ผสมผสานกับบทหนังที่ผลักเราให้ร่วมลุ้นแบบเป็นตายไปพร้อมครอบครัวตัวนำ นี่คือรสอารมณ์ที่คงได้เต็มเปี่ยมก็ต่อเมื่อชมในโรงหนังเท่านั้นจริง ๆ
หนังในภาคนี้ก็ยังคงมาตรฐานเดิมได้เยี่ยม ในตอนแรกคิดว่าหนังน่าจะใช้มุกหมดไปเยอะแล้ว แถมยังโดนหนังที่ฉายทีหลังลอกการบ้านไปพอสมควรทั้ง ‘The Silence’ (2019) หรืออารมณ์ใกล้เคียงอย่าง ‘Bird Box’ (2018) ทว่าหนังก็หยอดตัวละครใหม่ ๆ มาแจมกับกลุ่มนักแสดงเดิมอย่าง เอมิลี บลันต์ (Emily Blunt) ในบทคุณแม่ มิลลิเซนต์ ซิมมอนด์ส (Millicent Simmonds) ในบทพี่สาวคนโต และ โนอาห์ จูป (Noah Jupe) ในบทลูกชายคนรอง ที่เราผูกพันแล้วได้ลงตัวมาก ๆ
ตัวละครใหม่ที่สำคัญเลยคึือเพื่อนร่วมเมืองอย่าง เอ็มเมตต์ ที่ได้พระเอกนัยตาเศร้าอย่าง คิลเลียน เมอร์ฟี (Cillian Murphy) มาร่วมแสดง ซึ่งบทเอ็มเมตต์นี้ทำให้เรารุู้สึกนึกถึง โจเอล ในเกม ‘The Last of Us’ ที่บังเอิญต้องมาดูแลคนที่อ่อนแอกว่าอยู่เหมือนกัน โดยเขามีบทบาทสำคัญไม่น้อยกว่าตัวครอบครัวแอบบ็อตในภาคนี้เลยทีเดียว
อีกหนึ่งดาราดังที่มาในเรื่องก็คือ ดิจิมอน ฮาวน์ซู (Djimon Hounsou) นักแสดงผิวดำมากฝีมือที่แม้มาน้อยแต่มานะ เพราะเขามารับบทในครึ่งหลังของหนังที่มอบจุดพลิกเกมให้กับเหล่าตัวละครหลักด้วย จะอย่างไรนั้นต้องไปชมกันเอง
หนังยังคงฉลาดมาก ๆ ในการคิดเส้นเรื่องให้น่าติดตาม ทั้งการพาไปสู่สถานการณ์ที่ตัวละครต้องออกจากสถานที่ปลอดภัยไปเสี่ยงตายซึ่งเรามักรู้สึกว่ายัดเยียดมาหรือตัวละครทำไปแบบโง่ ๆ ในหนังแนวนี้ได้อย่างมีเหตุผล ทั้งแง่อารมณ์และตรรกะ ซึ่งยังขับเน้นพัฒนาการของตัวละครที่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเติบโตและเรียนรู้กับเหตุการณ์ในภาคแรกมาด้วย (บทแน่นดีมาก)
และแน่นอนสถานที่ใหม่ ๆ ของโลกภายนอกที่ออกจากฟาร์มในภาคแรกก็ยังทำให้ทุกอย่างดูน่าตื่นเต้นด้วย เราจะได้ไปพื้นที่ใหม่ ๆ จากกลางป่าสู่ชุมชนรกร้างจนถึงชายฝั่งทะเล ได้เจอชุมชนผู้รอดชีวิตที่เราไม่เคยเห็น ผู้คนใหม่ ๆ ที่มีทั้งดีและร้าย วิธีการใหม่ ๆ ที่คนอื่น ๆ ใช้เอาตัวรอดจากสัตว์ประหลาด แม้จะคล้าย ๆ หนังสูตรสำเร็จพวกแนวเอาชีวิตรอดในวันโลกสลาย แต่อย่างที่เราพาดหัวรีวิวไว้ว่า รู้ทั้งรู้ แต่ก็ยังลุ้น
ตรงนี้นับเป็นความฉลาดของการเล่าขั้นที่ 2 ไปอีก เพราะหนังเล่าเรื่องง่าย ๆ เรื่องที่คุ้นเคย เรื่องตามสูตรสำเร็จได้อย่างสนุก มีตัวละครที่เราดูปุ๊บก็รู้ว่าอย่างไรก็รอด บางทีอาจเดาฉากไฮไลต์ของหนังได้เลยด้วยซ้ำ ทว่าฉากการไล่ล่าและต่อสู้ ความเงียบที่ชวนผวา ทุกอย่างยังคงประสบความสำเร็จในการเล่นกับอารมณ์ผู้ชม ตรงนี้เพราะหนังทำให้เราผูกพันกับตัวละครใหม่ได้สำเร็จ และทำให้เราเอาใจช่วยตัวละครอย่างเอ็มเมตต์ให้รอดไปด้วยได้ หนังฟรี  หนังใหม่

ความรู้สึกส่วนตัว 

กว่าสามปีที่เราได้ดูหนังเรื่องหนึ่งที่ห้ามใช้เสียง ไม่อย่างงั้นตัวเอเลี่ยนที่น่าสยอสยองจะพุ่งเข้าใส่คุณ ใน A Quiet Place ภาคแรก เป็นหนังเกือบจะเงียบที่ทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยอารมณ์หนัง ความน่าตื่นเต้น และตัวเอเลี่ยนที่แสนน่าเกลียดสยดสยอง ทำให้ “ดินแดนไร้เสียง” ภาคแรก เป็นหนังที่ปังอย่างเหลือเชื่อ
ในภาคนี้ครอบครัวแอ็บบอทยังคงต้องหลบซ่อนต่อไป ใช้ชีวิตโดยไม่ส่งเสียง แต่ผู้ชมจะได้เห็นเรื่องราวที่เข้มข้น และขยายกว้างขึ้น เมื่อพวกเขาไม่ใช่คนที่รอดชีวิตเพียงกลุ่มเดียว พร้อมๆ กับการได้ติดตามวิธีการเอาชีวิตรอดของมนุษย์ โดยเฉพาะความยากลำบากของสมาชิกครอบครัวแอ็บบอทที่เหลืออยู่ เมื่อแม่ต้องเป็นผู้นำครอบครัว และเพิ่มความอันตรายด้วยสกิลของเหล่าสัตว์ประหลาดร้าย ที่ไม่เพียงแต่ไล่ล่าตามเสียงที่พวกมันได้ยินเท่านั้น แต่ยังดักรอทำร้ายระหว่างทางได้อีกด้วย ทำให้ครอบครัวแอ็บบอทต้องพยายามหนีให้รอดพ้นจากอันตรายอย่างสุดชีวิต
หนังยังคงเล่าเรื่องเหตุการณ์ต่อเนื่องจากภาคแรก ซึ่งคนไม่เคยดูภาคแรกอาจจะมีงงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะหนังมีย้อนเล่ากลับไปถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวความสยองก่อนที่จะกลายเป็นดินแดนไร้เสียงในเวลาต่อมา หนังมีสลับไปสลับมาระหว่างปัจจุบันกับอดีตให้ได้มีที่มาที่ไปของตัวละครทั้งเก่า และตัวละครหลักของเรื่องตัวใหม่ที่หนังใส่เข้ามา ทำให้ได้อรรถรสเพิ่มขึ้นจากภาคแรกไปอีก
หนังพาเราไปพบเหตุการณ์ใหม่ๆ นอกเหนือจากการหลบซ่อนจากเอเลี่ยนผู้มีประสาทหูไวกว่าหมาที่บ้าน หนังยังใส่เรื่องของเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่ไม่มีใครคาดคิด และนอกจากภัยร้ายที่เกิดจากเอเลี่ยน หนังยังเอาภัยร้ายจากมนุษย์ ที่ทิ้งมนุษยธรรมเพื่อความอยู่รอดเข้ามาอีกด้วย ซึ่งทำให้เราเห็นว่า จริงๆ แล้วสิ่งที่ทำให้เราอยู่อย่างระแวง หนึ่งในนั้นมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “มนุษย์” รวมอยู่ด้วย
หนังในภาคนี้มีการใช้บทพูดมากขึ้นกว่าเดินค่อนข้างเยอะ เพราะมันมีช่วงที่ย้อนอดีตไปก่อนเหตุการณ์ และช่วงที่ตัวละครคุยกัน รวมไปถึงช่วงที่ไปเจอตัวละครใหม่ๆ อีกหลายฉาก ทำให้อาจจะขัดใจคนดูนิดหน่อย รวมไปถึงการเริ่มดึงเรื่องให้ยืดขึ้นอีกเล็กน้อยเพื่อจะใส่รายละเอียดปูทางไปจนถึงภาคต่อไปให้ได้ เลยทำให้ความเข้มข้นของภาคนี้ อาจจะไม่เข้มข้นเท่าภาคแรก
ถึงแม้ว่าความเข้มข้นจะลดลงเล็กน้อย แต่หนังกลับใส่รายละเอียดอย่างอื่นเพิ่มเติมเข้ามา เรื่องของความกล้าหาญ ความเสียสละ และอีกหลายๆ อย่าง รวมไปถึง CG ตัวเอเลี่ยน ภาคนี้ก็จัดมาอย่างสวยงาม หนังใส่อะไรหลายๆ อย่างเพิ่มจากภาคแรกเยอะ ซึ่งทำให้ความเข้มข้นที่ลดน้อยลง ถูกทดแทนด้วยความอยากรู้อยากเห็นกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภาคถัดไป
โดยรวมแล้วสำหรับ A Quiet Place ภาค 2 ส่วนตัวผมมองว่า มันคือภาคขยายความจากภาคแรก ที่มาเกริ่นถึงที่มาที่ไปของเหตุการณ์ที่เกิดขึนแบบเล็กน้อยก่อนที่จะไปเฉลยเรื่องราวทั้งหมด หรืออาจจะไม่ทั้งหมดในภาคสาม ซึ่งมันทำให้เรายิ่งอยากดูภาคต่อของหนังเรื่องนี้เร็วๆ
แน่นอนว่าฉากจำในการที่หนังฆ่าตัวละครหลักในภาคแรกยังคงติดตาฝังใจผู้ชม และเป็นไกปืนที่ง้างไว้พร้อมลั่นใส่หัวใจผู้ชมในภาคนี้เช่นกัน อย่างที่บอกว่ามีบางตัวละครที่รับประกันสกิลตัวเอกที่เรารู้ว่าไม่มีทางตาย แต่นั้นไม่ได้รับประกันอะไรกับตัวละครอื่นเลย ที่เหลือคือตายได้ทุกตัวจริง ๆ
ลุ้นในความเงียบจนลืมหายใจ ภาพใหญ่ ๆ อลัง ๆ เสียงคำรามสนั่น ๆ กลางความมืด บอกได้เลยว่า นี่คือหนังที่พอจะคุ้มเสี่ยงไปชมในโรงหนังอยู่เหมือนกันนะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *