รีวิว The Impossible 2004
รีวิวหนังฮิต ย้อนกลับไปเมื่อปี 2004 คงไม่มีใครคาดคิด และ ไม่มีใคร คิดถึงแน่นอน แม้ว่าจะเกิดเหตุ โศกนาฏกรรม ที่พรากหลากหลายชีวิต และ ทำลายทุก สิ่งที่ขวางหน้าไปภายในช่วงพริบตา มันเป็นเรื่องราวน่าสะเทือนใจ ที่ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครจะกล้าหยิบจับมันบอก เล่าตรง ๆ เลย แต่วันที่เรารอคอยก็มาถึง
และในที่สุด The Impossible ก็หยิบมันมาเล่าอย่างตรงไปตรงมา ที่สำคัญคือมันพยายามที่จะปรุงแต่งและเจือสีให้เจือจางน้อยที่สุด และผลที่ได้ก็คือภาพยนตร์ที่ทรงพลังเหลือล้นทั้งทางภาพและอารมณ์
เป็นหนังอีกเรื่องที่ขนลุกตั้งแต่เห็นในหนังตัวอย่างแรก เพลงประกอบที่สร้างความอ้างว้าง และคาดหวังพอสมควรกับหนังเรื่องนี้ หนังฉายแบบจอกว้างยาวสุด เลือกดูโรงใหญ่จะดี ได้ดูรอบซาวด์แทรค พูดอังกฤษ มีซับไตเติลภาษาไทย ส่วนฉากที่ตัวละครพูดภาษาไทยสำเนียงใต้ช่วงนี้ไม่มีซับขึ้นนะ และมีฉากที่ตัวละครไทยพูดภาษาอังกฤษมีแปล เห็นหน้านักแสดงชาวไทยคงได้คุ้นๆหน้ากัน และเป็นภาพยนตร์ที่เหมาะที่จะชมในโรงภาพยนตร์ เพราะเล่นกับเสียงประกอบ บางตอนบางช่วง ราวกับจับเรากดลงทะเล อึกทึกกับความคลั่งของคลื่น หายใจแทบไม่ออก กดดัน ขอให้ลำโพงโรงหนังที่คุณเข้าชมไม่เน่า ส่วนความรุนแรงของหนัง ก็แปลกใจเหมือนกันที่ได้เรท ท.ทั่วไป มีหลายๆฉาก โหดจนต้องเบือนหน้าหลบ ส่วนเอฟเฟคของสึนามิ “น่ากลัว” จนขนลุก (ขอไม่ใช้คำว่า “สมจริง” เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่เคยประสพมากับตัวเองครับ)
เนื้อหาถูกสร้างมาจากเรื่องจริงของครอบครัวต่างชาติครอบครัวหนึ่ง ที่เดินทางมาพักผ่อนที่ทะเลไทย วันก่อนคริสต์มาส ปี2004 (ในหนังคือเขาหลัก พังงา) ถ่ายทอดทะเลไทยออกมาสวยงามเชียว ทั้งชายหาดและใต้น้ำ (พาแฟนไปดูระวังโดนคะยั้นคะยอว่า พาไปเที่ยวหน่อยๆ) แต่ก็แฝงอะไรบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกไม่ไว้ใจ ความเงียบกระมัง ครอบครัวประกอบไปด้วยแม่ มาเรีย พยาบาล (นาโอมิ วัตตส์), พ่อ เฮนรี่ (ยวน แม็คเกอร์เกอร์) และลูกชายทั้งสามคน ลูคัส (พี่ชายคนโต), ไซม่อน กับ โธมัส หนังปูพื้นฐานของสมาชิกในครอบครัว ให้บางคนมีความกลัวแฝงอยู่ ในขณะที่บางคนยังไม่รู้จักความกลัวที่แท้จริง
และไม่พูดพร่ำทำเพลง พระเอก(หรือผู้ร้าย)ของหนังเรื่องนี้ก็โผล่มา สึนามิคลื่นยักษ์ถล่มรีสอร์ตที่ครอบครัวนี้พักอยู่ และตามด้วยฉากใหญ่นั่นคือการเอาตัวรอดจากสายน้ำที่พัดพาเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปกับมัน ดูฉากนี้แล้วจะอึ้งว่า ถ่ายทำกันได้ขนาดนี้ ทั้งฉากบนน้ำหรือใต้น้ำ (ดูเบื้องหลังอึ้งกว่า ราวกับเสกเวทย์มนต์) แม่ กับ ลูคัส ผจญกับสายน้ำ และต้องเอาตัวรอดให้ได้ ฉากนี้ยาวและลุ้น ก่อนจะพบว่า “เหลือแต่ซาก” และบาดแผลที่มาเรียประสบมา ก็สาหัสจนต้องใช้ ขนาดของหัวใจ ที่ใหญ่มากพอในการเดินทางต่อ ระหว่างทางก็พบกับน้ำใจและความหวังในการมีชีวิต ช่วยกันและกัน คนที่เล่นเป็น ลูคัส ลูกชายคนโตที่อยู่กับแม่ บทบาทเยอะ และเล่นได้ดีมาก เด็กผู้ไม่เข้าใจว่าตนเองเจออะไรมาแย่มากพอ แต่ทำไมแม่เค้าจึงอยากให้ออกไปช่วยเหลือคนอื่นอีก จนทำให้ตัวเองต้องลำบากขึ้นไปอีก ความยากลำบากกับภัยธรรมชาติที่ได้เจอต่างบ้านต่างเมือง ต่างภาษา แต่ลูคัสก็ได้รู้ความหมายของการช่วยเหลือผู้อื่น การได้พบกันอีกครั้ง มีความสำคัญต่อหลายๆคนอย่างไร
เล่าขนานไปกับอีกฝั่งหนึ่ง พ่อ เฮนรี่ ที่อยู่กับสองลูก ไซม่อน โธมัส ซึ่งก็ตามหาเมียและลูกที่เหลือ ตามหาแบบตามมีตามเกิด พบปะทั้งผู้คนที่สูญเสีย สูญสิ้นความหวัง ฉากที่น่าประทับใจของ ยวน แม็คเกอร์เกอร์ คงเป็นฉากที่เขาแสดงความเข้มแข็งกำลังใจดี ต่อหน้าผู้ประสบภัยคนอื่นๆ แต่สุดท้ายก็ต้องปลดปล่อยความอ่อนแอที่อยู่ในใจออกมา ผู้ชายร้องไห้ นี่น่าสงสารยิ่งกว่าผู้หญิงร้องไห้อีกนะ บทยังขีดให้คนดูช่วยลุ้นว่า พ่อ แม่ ลูก ครอบครัวนี้จะตามหากันเจอหรือไม่ และจะปลอดภัยหรือเปล่า เพราะช่างลูกล่อลูกชน ให้เอาใจช่วยได้ตลอด
รีวิว The Impossible 2004
บทความนี้เปิดเผยบางส่วนของภาพยนตร์
เรารู้ตั้งแต่แรกว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับภัยพิบัติสึนามิที่เกิดขึ้นทั่ว เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนั้นภาพช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์นั้นจึงเป็นภาพที่น่าปวดใจยิ่งนัก เราเห็นภาพของครอบครัวธรรมดาที่หาเวลามาพักผ่อนเหมือนครอบครัวอื่น ๆ ที่คิดว่าที่นี่นั้นคือแดนสวรรค์ โดยที่ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา ฉะนั้นแล้ว เมื่อเราเห็นพวกเขามีความสุขมากแค่ไหน เราผู้ชมก็ยิ่งปวดร้าวมากขึ้นเท่านั้น
สิ่งที่พิเศษอีกอย่างหนึ่งใน The Impossible ก็คือมันเป็นเรื่องราวของภัยพิบัติที่อิงกับความเป็นจริงสูง หรือหากให้พูดในอีกแง่หนึ่งก็คือเนื้อเรื่องของมันเองก็ไม่ได้มีความซับซ้อน หรือเคร่งเครียดแบบหนังฮอลีวู้ดนิยมเท่าไหร่นัก ทั้งนี่ต้องกล่าวว่าเป็นเพราะว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังจากทางฝั่งอเมริกา ที่มีรสชาติที่หลายคนคุ้นเคย หากแต่มาจากทางสเปนซึ่งก็มีอารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป
แม้ว่าหลายคนอาจจะมองเห็นว่าเรื่องราวไม่หนักแน่นหรือไม่สนุกสนานแบบหนัง ภัยพิบัติเรื่องอื่น แต่ในอีกด้านหนึ่ง สิ่งเหล่านี้เป็นเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ของหนังเรื่องนี้ เรื่องราวของผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราและก็ผ่านไป เรื่องราวที่เราคงไม่มีทางรู้ และแม้จะผ่านไปแล้วมันก็ยังคงติดตัวกับเราไปกับชีวิตและความทรงจำ
ความรู้สึกส่วนตัว
แน่นอน เราเชื่อว่า The Impossible พูดถึงความหวังในชีวิตของมนุษย์ แต่เราเคยได้ยินเรื่องเหล่านี้มากมายแค่ไหนกัน ภาพของความหายนะที่วิ่งเข้าหาเราโดยไม่มีทางรู้ตัว และเมื่อเราเอาตัวรอดจากมันได้แล้ว มันคือความปลอดภัยจริงหรือ หรือแท้ที่จริงมันเพิ่งจะเริ่มต้น หลังจากหายนะที่เกิดขึ้นเพราะธรรมชาติจะทิ้งเหลือเพียงแค่ความเงียบงัน อีกด้านหนึ่งความสับสนวุ่นวายก็บังเกิดเพราะอีกหลายชีวิตกำลังพยายามอย่าง เต็มกำลังเพื่อเอาตัวรอด
มีช่วงหนึ่งเรื่องราวเหมือนจะดำเนินไปหนทางของความหวัง ลูคัส เด็กชายได้รับคำขอจากแม่ให้ไปช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่จะทำได้ แม้จะเป็นโอกาสหนึ่งในพันที่เขาสามารถทำสำเร็จ แต่วินาทีที่เปี่ยมด้วยความหวังที่เราเชื่อว่าตัวเรานั้นสามารถที่จะทำอะไร ได้ก็ถูกดับลงด้วยคำถามที่ว่าแท้จริงเราทำอะไรไม่ได้เลยหรือเปล่า
ทั้งความหวังและความสิ้นหวังเป็นภาพที่ตัดสลับกันในหนังเรื่องนี้ มันไม่ได้นำเสนอในแง่ใดแง่หนึ่งอย่างสร้างภาพเกินไป เราควรจะเรียกได้ว่ามันเกิดขึ้นไปตามกลไกและความสามารถที่เราจะสามารถทำได้ ในตอนนั้น ภาพของความหวาดกลัวที่เราไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นอีก ภาพของความตายที่หลงเหลือเอาไว้ แต่ในความตายก็มียังมีชีวิต เช่นเดียวกับชีวิตที่มีความตาย ภาพของชายชราผอมแห้งที่พยายามลากหญิงสาวผิวขาวอย่างทุลักทุเลทั้งที่เป็นแผล ที่ขา แต่เมื่อมองไปในแววตาสิ่งที่เรามองเห็นคือความจริงใจที่เปี่ยมล้น และที่สำคัญคือมันไม่จำเป็นต้องบรรยายด้วยคำพูดอะไร หากเพียงแต่ภาพของแววตาของคนสองคนทีจับจ้องด้วยกันนั้นมันก็มีพลังที่มาก เกินเหลือเชื่อ
และตัว The Impossible เองนั้นก็ไม่ได้ต้องการที่จะบีบคั้นให้เรารู้สึกสิ้นหวัง และทีสำคัญมันเองก็ไม่ได้หักหาญน้ำใจของผู้ชม มันไม่ทำร้ายเราด้วยการขยี้ความหวังของเราและบอกเราว่านี่คือโลกแห่งความ จริง กลับกันมันให้เรามองไปยังแสงแห่งความหวังและให้กันไปรอบ ๆ ว่าพื้นที่ที่แสงส่องไปไม่ถึงนั้นมันมืดแค่ไหน
ต้องยอมรับว่าช่วงหลังของเรื่องนั้นอาจไม่ทรงพลังเท่าช่วงแรกที่ทำให้เรา หายใจไม่ทั่วท้อง แต่ในทางกลับกันมันก็ทำให้เราได้เห็นภาพหลายอย่างที่น่าสนใจรวมถึงฉากที่เรา กล่าวไปถึงข้างต้น แม้ว่าสถานการณ์นั้นจะดูวุ่นวายไปบ้าง เพราะมันต้องการที่จะนำพาตัวละครที่แตกกระจายเข้าไว้ด้วยกัน แต่มันก็ไม่ใช่ข้อเสียที่เลวร้ายแต่อย่างใด
หากพูดถึงฉากดี ๆ ของ The Impossible ก็คงมีมากมายนับไม่ถ้วน หากพูดอย่างไม่เป็นกลางแล้วคงสามารถพูดได้ว่าฉากที่ตัวละครหลักในเรื่องนั้น เจอตัวละครคนอื่นเป็นฉากที่มีความน่าสนใจ เพราะในมุมหนึ่งมันคือเรื่องราวที่คนแปลกหน้ามาพบกัน ร่วมมือกันโดยไม่สนใจถึงเชื้อชาติใด ๆ อีกแง่มุมหนึ่งก็คือมันเสน่ห์ของชีวิตที่น่าหลงใหล กับเรื่องราวของคนแปลกหน้าบางคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ทิ้งบางสิ่งไว้ให้เรา และผ่านไปโดยที่คงไม่มีทางได้พบกันอีก
ในความเห็นส่วนตัวฉากหนึ่งที่ผู้เขียนชื่นชอบคือฉากที่ตัวละครสองคนพบกัน อีกครั้งบนเตียงผู้ป่วย คำพูดประโยคแรกที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาคงไม่มีใครคิดหรอกว่ามันจะเป็นกำลังใจให้ อีกคนได้มากมายแค่ไหน และหากไร้ซึ่งคำพูดนั้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ฉากถัดมาเองก็เป็นอะไรที่น่าสนใจ มันเกิดขึ้นหลังจากคำพูดที่ว่าให้หลับตาลงแล้วนึกถึงแต่สิ่งดี ๆ หากแต่ภาพถัดมาที่เราเห็นคือภาพของตัวละครคนนั้นโดนคลื่นหนักซัดกระหน่ำทำ ให้ทุกอยางหายไปในพริบตา ร่างที่ควบคุมไม่ได้ถูกคลื่นน้ำพัดเหวี่ยงไปทั่ว กิ่งหนามมากมายเฉือนร่างอย่างเจ็บปวด สิ่งแปลกปลอมพันรอบคอจนเกือบเอาไม่ออก และร่างนั้นเองก็ทิ้งดิ่งลงในน้ำลึกที่ดูมืดและสิ้นหวัง หากแต่เหนือผิวน้ำนั้นคือแสงสว่างเรืองรองที่ตัวละครนั้นพยายามที่จะไขว่ คว้ามันเอาไว้ ไม่ต้องอธิบายต่อเราก็รู้ว่ามันเป็นฉากที่แสดงถึงการอยู่รอดและความหวังของ มนุษย์ แม้จะดูเหมือนปรุงแต่งจนเกินพอดีแต่มันก็ได้รับการเบรคเอาไว้ไม่ให้เลยเถิด จนเกินไปด้วยเสียงดนตรีที่ตึงเครียดและกดดันมากกว่าจะเป็นเสียงสรรเสริญแห่งความสุข
ทั้งนี้อาจจะเป็นสิ่งที่หนังต้องการจะบอก มันเชื่อมไปกับฉากสุดท้าย เหมือนมันกำลังบอกเราว่าแม้เราจะปลอดภัยแล้ว แต่เรื่องราวต่าง ๆ ก็ยังคงดำเนินต่อไปในฉากหลังที่เรามองไม่เห็น เหล่าผู้คนที่ยังคงพลัดพราก ครอบครัวที่สูญเสีย เหล่าผู้คนที่กำลังค้นหา เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ได้เป็นการปลอบประโลมหรือสร้างความหวังให้แก่เราจะไร้ สติ กลับกันมันย้ำลึกความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ในใจเราเอาไว้อีกครั้ง
และคงไม่ต้องพูดถึงเหล่าผู้คนมากมายที่ผ่านช่วงเวลานั้นมาจริง ๆ ว่าเป็นเช่นไร
ทั้งหมดนั้นมันไม่ได้มีเพียงแค่ความสุขหรือความเศร้า ความหวังความกลัว ชีวิตความตาย อย่างใดอย่างหนึ่งมากน้อยเกินไป
แต่มันคือชีวิตที่รวมทุกสิ่งเอาไว้ด้วยกัน
มีความตึงเครียดในหลายๆฉาก คนดูอาจจะถึงกับเกร็ง แต่หนังก็จะปลดปล่อยเราด้วยความประทับใจ ร้องไห้ออกมาเลย หลายๆคนในโรงก็คงไม่แพ้กัน ดนตรีประกอบยิ่งทำให้เพิ่มความรู้สึกอยากปลดปล่อยน้ำตามากขึ้น? อินไปกับหนัง น้ำตาไหลไปหลายรอบ อยากกลับไปกอดคนที่เรารัก ที่ยังไม่ได้จากกันไปไหน และก็เตือนให้เราไม่ลืมความน่าสะพรึงของธรรมชาติ มนุษย์เราตัวจ้อยเดียว แต่ความหวัง และการไม่ท้อถอย จะทำให้เราฝ่ามันไปได้
การถ่ายทอดภาพของประเทศไทย มีหลายๆจุดที่ผมอาจคิดไปบ้างว่า แสดงถึงการจัดการสถานการณ์ที่ไม่โอเคเลย รายชื่อคนไข้สับสน, การจัดการพยาบาลที่ดูไม่เอาใจใส่, ความโกลาหล และสุดท้าย นักท่องเที่ยวควรจะพึ่งตนเองดีที่สุด ความหวังในที่ต้องสร้างขึ้นมาเอง คงเพราะเป็นการโฟกัสเฉพาะเรื่องของครอบครัวนี้ ไม่ใช่ภาพรวมของเหตุการณ์ทั้งหมด เราจึงได้เห็นเพียงบางเหตุการณ์บางส่วน ส่วน tie-in ของเรื่องนี้ ดูกลมกลืนดี ภาพพจน์ดีมาก