รีวิว Ghost Rider 1 (2007)

รีวิวหนัง เป็นอีกหนึ่ง ซูเปอร์ฮีโร สุดเท่ ที่อยู่ในใจแอดมาตลอด เลยก็ว่าได้ จากผลผลิตของมาร์เวล ที่เป็นที่รู้จักทั้งแฟนหนัง และ แฟนคอมิก Ghost Rider เคยถูกสร้างเป็นหนังมาแล้ว 2 ภาค ได้ นิโคลาส เคจ มารับบทเป็น Ghost Rider หรือ จอห์นนี่ เบลซ ร่างมนุษย์ของซูเปอร์ฮีโรรายนี้

ในหนังทั้ง 2 ภาค ที่ออกฉายเมื่อปี 2007 และ 2011 ตามลำดับ ภาคแรกทำรายได้ไปน่าพอใจที่ 228 ล้านเหรียญ แต่ภาคต่อ Ghost Rider: Spirit of Vengeance (2011) รายได้ลดลงเกือบครึ่ง เหลือเพียง 132 ล้านเหรียญ ทำให้โซนี่ไม่ตัดสินใจสานภาคต่อ ก็เป็นไปตามเงื่อนไขของโซนี่และมาร์เวล ถ้าหยุดสร้างเกิน 3 ปี สิทธิ์ในการสร้างเป็น

ภาพยนตร์ก็จะกลับมาเป็นของมาร์เวล ซึ่งดูแล้ว Ghost Rider ก็ไม่ใช่ของรักของหวงของโซนี่เหมือนอย่าง Spider-Man หรอกนะ

นิโคลาส เคจ ตอนที่สวมบทบาทเป็น จอห์นนี่ เบลซ

หลังจาก Ghost Rider กลับมาอยู่กับมาร์เวล เขาก็ยังไม่ได้ปรากฏตัวเป็นจริงเป็นจังนัก มีเพียงการเป็นตัวละครรับเชิญในทีวีซีรีส์ Agents of S.H.I.E.L.D. ซีซันที่ 3 ได้ แกเบรียล ลูนา มาสวมบทบาทเป็น Ghost Riderก็ได้รับเสียงชื่นชมจากแฟน ๆ ไปพอดูถึงบทบาทการแสดงของแกเบรียล หลังจากนั้นก็มีข่าวออกมาอีกว่า Ghost Rider จะถูกพัฒนาเป็นทีวีซีรีส์ของตัวเอง ออกฉายทางช่อง Hulu แต่แล้วก็ยังไม่เห็นมีอะไรคืบหน้า

แกเบรียล ลูนา ตอนที่รับบทเป็น Ghost Rider

ล่าสุดนี้ก็มีข่าวออกมาว่าทางมาร์เวล สตูดิโอ กำลังจะรีบูต Ghost Rider เอง รอบนี้จะมีการแคสติ้งนักแสดงมารับบทนำใหม่ไม่ใช่ แกเบรียล ลูนา อีกต่อไปแล้ว ยังไม่ฟันธงอีก

ด้วยว่ารอบนี้จะสร้างเป็นภาพยนตร์ฉายในโรงหรือว่าจะทำเป็นทีวีซีรีส์ฉายทางช่อง Disney+ ดี แต่ก็มีข่าวเสริมออกมาอีกด้วยว่า เควิน ไฟกี ค่อนข้างจะเอนเอียงไปทางสร้างเป็นภาพยนตร์มากกว่า เพราะเขาอยากให้ Ghost Rider เป็นสมาชิกในทีม Marvel Cinematic Universe

ซึ่งช่องทางการเปิดตัวนั้น เป็นไปได้ว่า Ghost Rider จะเริ่มแนะนำตัวเองเข้าสู่จักรวาลหนังมาร์เวล ด้วยการเป็นแขกรับเชิญใน Doctor Strange in the Multiverse of

Madness ภาคต่อของหมอแปลกที่อยู่ในขั้นตอนเตรียมการสร้าง ซึ่งก็ฟังดูเป็นช่องทางที่เข้าท่าที่สุด เพราะในจักรวาลการ์ตูนมาร์เวลนั้น ทั้ง Doctor Strange และ Ghost

Rider ต่างก็มีศัตรูตัวเดียวกันก็คือ Nightmare ซึ่งเจ้าวายร้ายรายนี้ก็ถูกวางตัวแล้วให้เป็นตัวร้ายหลักของ Doctor Strange in the Multiverse of Madness บวกกับธีมของ Ghost Rider ซึ่งเป็นพระเอกในแนวแอนติฮีโร มาในบรรยากาศสยองขวัญ แล้วหนัง Doctor Strange in the Multiverse of Madness ก็เพิ่งได้รับการยืนยันว่า แซม ไรมี เจ้าพ่อหนังสยองขวัญจะเข้ามารับหน้าที่กำกับแทน สก็อตต์ เดริกสัน ก็ช่างดูพอเหมาะพอเจาะเสียจริง

หันมาดูทิศทางความเป็นไปได้ว่า Ghost Rider จะลงช่อง Disney+ หรือไม่ ข่าวรายงานว่า Ghost Rider อาจจะมาแนะนำตัวในทีวีซีรีส์ Wandavision แต่ข่าวนี้ต้องใช้ระยะเวลาอีกยาวนาน กว่าจะยืนยันได้ว่ามีความเป็นจริงได้มากน้อยแค่ไหน เพราะ Wandavision ก็เป็นหนึ่งในหลาย ๆ โพรเจกต์ที่ชะงักงันในช่วงการถ่ายทำเหตุเพราะผลกระทบจากวิกฤตการณ์ไวรัสแพร่ระบาด

พิจารณาชื่อเสียงของ Ghost Rider ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานก็เป็นอีกหนึ่งคาแรกเตอร์ที่มีฐานแฟนติดตามมากมาย มีศักยภาพเหมาะสมที่จะเป็นซูเปอร์ฮีโรตัวต่อไปที่จะได้ปรากฏตัวบนจอใหญ่ แต่ไม่น่าจะเปิดตัวด้วยการมีหนังเดี่ยวของตัวเอง น่าจะได้โผล่มาแนะนำตัวในหนังเฟส 4 นี่ก็เป็นก้าวแรกของเขา แต่เราจะเห็นลู่ทางชัดเจนกว่านี้ก็ต้องรอ

ให้สถานการณ์โลกคลี่คลายลงกว่านี้เสียก่อน แล้วเควิน ไฟกี เองก็เกริ่นมาก่อนหน้านี้แล้วว่า ขณะนี้โพรเจกต์ของมาร์เวลที่จะออกมาในปีนี้และปีหน้าก็แน่นขนัดไปหมดแล้ว รอติดตามข่าวกันต่อไป เป็นข่าวที่น่าติดตามครับว่าใครจะมาเป็น Ghost Rider คนใหม่ แล้วเขาจะเปิดตัวในจอเล็กหรือจอใหญ่กันแน่ ตอนนี้ดูภาพจากจินตนาการของแฟน ๆ ไป

ก่อน ที่สร้างภาพของ คีอานู รีฟส์ (อีกแล้ว) ในภาพลักษณ์ของ Ghost Rider ก็ดูเท่ไม่เบานะ ช่วยกันเชียร์ดิ ตอนนี้ยังไม่ระบุนักแสดง อาจจะเป็นจริงก็ได้นะ

จึงแอบรู้สึกดีใจนิดๆที่ยังคงได้เห็น เคจ ในหนังฟอร์มใหญ่ๆอยู่บ้าง พร้อมไปกับฉากแอ็คชั่นของหนังที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดูมันส์ระเบิดระเบ้อมากมาย แต่สองผู้กำกับคนนี้ก็ถือว่ายังทำออกมาได้ดูเล่นๆได้อย่างสบายๆ ควบคู่ไปกับดนตรีประกอบสุดร็อคของหนังที่แต่งโดย เดวิด ซาร์ดี้ ที่ถึงแม้ดนตรีประกอบ และ ฉากของหนังที่กำลังฉาย อยู่นั้นจะมีอารมณ์

ต่างกันสุดขั้ว แต่ในใจลึกๆก็ต้องยอมรับว่าเพราะดนตรีประกอบนั้นแหละที่ทำให้ฉากแอ็คชั่นเหล่านั้นรู้สึกมันส์ได้อย่างประหลาดๆ แต่ก็มีแค่ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นแหละที่เป็นข้อดีใน Ghost Rider ภาคนี้ เพราะที่เหลือของหนังในภาคนี้นั้นถือว่าทำออกมาค่อนข้าง น่าผิดหวัง

เริ่มตั้งแต่ด้านของประเด็นเรื่องความดี ความชั่ว ที่ตัวหนังได้เริ่มตั้งโจทย์มาได้อย่างน่าสนใจเกี่ยวกับฮีโร่สุดดาร์คตัวนี้ แต่สุดท้ายนั้นหนังก็กลับไม่ได้เลือกใช้บริการโจทย์นี้เกี่ยวกับความดี ความชั่ว สักเท่าไหร่ หนำซ้ำยังตัดทิ้งอย่างไม่มีเยื่อใย แต่ที่น่าผิดหวังในภาคนี้ที่สุดคือด้านของ มุมกล้อง และ การตัดต่อ ของผู้กำกับ ที่มุมกล้องนั้นผู้กำกับพยายาม

จะอวดความเป็น Free-Style ในมุมกล้องเต็มที่ แต่หารู้ไม่ว่ามุมกล้องเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ฉากแอ็คชั่นทั้งหลายดูแล้วไม่ค่อยรู้เรื่อง และ สนุกได้ไม่ค่อยเต็มที่นัก แถมในหลายๆฉากนั้น ผมยังมีความรู้สึกเหมือนกับว่าตอนผู้กำกับมาถ่ายหนังเรื่องนี้ได้กินเหล้ามาก่อนรึปล่าว

เพราะในหลายๆฉากของหนังค่อนข้างดู เมาๆ มาก และไม่เข้าใจที่สุดคือทำไมเวลาตัวร้ายของเรื่องภาคนี้อย่าง แคร์ริแกน โผล่ออกมาฆ่าคนทีไรนั้น แบคกราวน์ของหนังนั้นต้องกลายเป็น สีดำ ถ้าตอบว่าจะขายความแนวก็ไม่ใช่ เพราะดูแล้วไม่ได้รู้สึกว่ามันดูนะประหลาดใจ หรือ น่าสนใจตรงไหนเลยสักนิดเดียว และที่แย่ที่สุดในหนังนั้นคือการที่ผู้กำกับ

พยายามจะใส่อารมณ์ขันแนวตลกร้ายเข้ามาในหนัง ที่ท้ายสุดนั้นมุขตลกเหล่านั้นแทนที่จะใส่เข้ามาทำให้คนดู ดูแล้วรู้สึก ขำกลิ้ง กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ ฝืด และ น่าเบื่อ ที่สุดของหนังเลยก็ว่าได้ และถ้าถามว่าอะไร ก็คงต้องตอบได้สั้นๆว่ามัน ‘ไม่ตลก’ เอาเสียเลย