รีวิว Avengers Endgame

รีวิวหนังฝรั่ง 10/10 คะแนน ดูหนัง กับ AVENGERS ENDGAME สิ้นสุดการรอคอยสำหรับบทสรุปของหนังซุปเปอร์ฮีโร่ ที่คนทั้งโลกต่างรอคอย หนังมีความยาว ถึง 3 ชั่วโมง ที่น้อยนักจะเห็นหนังที่กล้าทำหนังยาว ๆ แบบนี้ แต่ถือว่าเป็น 3 ชั่วโมงที่บอกได้เลยว่าคุ้มค่ามากที่สุด ถึงนานกว่านี้ก็จะดู ยิ่งถ้าดูจบแล้ว ก็อยากกลับไปดูอีกรอบจริง ๆภาพประกอบ

รีวิว Avengers Endgame

ผ่านมากว่า 11 ปี ที่หนังซุปเปอร์ฮีโร่ของค่าย Marvel ได้สร้างจักรวาลของซุปเปอร์ฮีโร่ขึ้นมา เพื่อเรียบเรียง เนื้อเรื่องให้มาจบใน Avengers Endgame ต้องยอม รับเลยว่าทางผู้เขียนจักรวาลของหนังซุปเปอร์ฮีโร่ของ Marvel ได้วางเนื้อเรื่องออกมาได้ดีจริง ๆ เมื่อดูหนังจบ จะเข้าใจเลยว่าตลอด 11 ปีที่ผ่านมาเห็นถึงความเชื่อม โยงของเนื้อเรื่อง และเหล่าตัวละคร เห็นความเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งตัวนักแสดง และการถ่ายทำ ทำให้เราผูกพันธ์กับตัวละครจากหนัง จดจำเรื่องราวจากจุดเริ่มต้นมาจนถึงบทสรุปในหนังเรื่องนี้ทำให้ความรู้สึก
เมื่อดูหนังเรื่องนี้จบ อยากจะกลับไปเริ่มต้น ดูหนังออนไลน์ แลเ ดูหนังฟรี ของมาเวลใหม่ตั้งแต่เรื่องแรก ๆ

ภาพประกอบสำหรับ Avengers Endgame ที่มีความยาวหนัง 3 ชั่วโมงแต่ความรู้สึกตอนดูกับรู้สึกว่าไม่เบื่อเลย ตามสไตล์หนังของมาเวลที่เต็มไปด้วยความสนุกและมุขฮา ๆ ออกมาตลอดสร้างเสียงหัวเราะเช่นเคยดูแล้วอมยิ้มและมีความสุขจริง ๆ แต่ฉากเศร้าก็ทำให้ถึงกับอินตามไปเลยเพราะด้วยความที่ผูกพันธ์กับหนังของมาเวลมาถึง 11 ปี ทำให้เราอินกับหนังมาก ๆ

รีวิว Avengers Endgame

 

เอฟเฟคของหนังในเรื่องนี้ทำออกมาได้ดีจริงๆ เรียกได้ว่าไร้ที่ติเลยทีเดียว ทั้งฉากต่อสู้และฉากโชว์พลังของตัวละคร ดูแล้วให้ความรู้สึกว่าเป็นซุปเปอร์ฮีโร่จริง ๆ หนังของมาเวลมีความพัฒนาให้เราเห็นมาโดยตลอด จนเมื่อดูหนังเรื่องนี้จะเห็นได้เลยว่าเอฟเฟค CG ต่าง ๆ มาไกลมาก ๆ ตัวเนื้อเรื่องของหนังจะทำให้เราได้เห็นถึงความตั้งใจ ของค่ายหนังมาเวลจริง ๆ ที่ใช้เวลากว่า 11 ปี เพื่อเชื่อมโยงตัวเนื้อเรื่องของเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่ให้มาจบลงในภาคนี้ได้อย่างลงตัวที่สุด ถือว่าเป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่เรื่องแรกเลยที่มีการวางแผนการของหนังเป็นเวลาหลายปี คอยคิดถึงฉากแต่ละฉากให้มาเชื่อมโยงกัน นับถือคนเขียนจักรวาลมาเวลเลยจริงๆ

 

รีวิว Avengers Endgame

ซึ่งปัจจัยหนึ่งที่หนังมาร์เวลแต่ละเรื่องมีความโดดเด่น แตกต่างและได้ความบันเทิงแบบไม่ทิ้งคุณภาพของภาพยนตร์คือการคัดเลือกผู้กำกับที่ตาถึงมากๆ ของ เควิน ไฟกี โปรดิวเซอร์ผู้เป็นเสมือน นิค ฟิวรี่ ผู้ประสานจักรวาลภาพยนตร์ที่ผ่านมาตลอด 3 เฟส และการตัดสินใจที่เรียกได้ว่าแจ๊คพ็อตครั้งหนึ่งของไฟกี คือการเลือก แอนโธนี และ โจ รุสโซ่ เลื่อนขั้นจากผู้ช่วยผู้กำกับมาเป็นผู้กำกับเต็มตัวตั้งแต่ Captain America Winter Soldier ที่แอบใส่เรื่องการเมืองร่วมสมัยลงไป และมาทดลองทำหนังก่อนอเวนเจอร์ส อย่าง Captain America Civil War ที่เรียกได้ว่าเป็นหนังอเวนเจอร์สย่อมๆ ได้เลย

และแน่นอนเมื่อได้มาสานต่อหนังที่ใกล้ปิดท้ายเฟส 3 อย่าง Avengers : Endgame พี่น้องรุสโซ่ก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะนอกจากบทภาพยนตร์ที่กลั่นกรองมาเป็นอย่างดีทั้งเหตุปัจจัยต่างๆที่บีบให้ตัวละครต้องสู้ เดิมพันที่ตัวละครจะต้องจ่ายเพื่อให้ชนะศึกครั้งนี้ที่ถูกถักทออย่างเป็นเหตุเป็นผลมากๆ จนหนังกล้าที่จะให้เรื่องราวกว่า 40%

ของมันเป็นดราม่าทั้งที่คนดูต่างตั้งความหวังมาดูฉากแอ็คชั่นหรือความแฟนตาซี แต่ดราม่าของมันกลับนำพาอารมณ์ผู้ชมไปสำรวจจิตใจและสร้างอารมณ์ร่วมกับตัวละครอย่างได้ผล โดยเฉพาะการกำกับซีนดราม่าที่เอาคอเมดีแทรกของพวกเขายังทำให้เห็นทักษะในการเล่นกับอารมณ์ผู้ชมเป็นอย่างดี ที่สำคัญมันยังสามารถเชื่อมร้อยเหตุการณ์ในหนังก่อนหน้าได้อย่างสมเหตุสมผลและน่าประทับใจมาก

 

ในส่วนดราม่าครอบครัวขอบอกว่าประเด็นที่โดนใจผมมากที่สุดหนีไม่พ้นการตั้งคำถามเกี่ยวกับบทบาทความเป็นพ่อที่หนังทำออกมาได้ลึกซึ้งมาก โดยไม่ได้เป็นเพียงการเล่นง่ายๆ แต่หลายปมของหลายตัวละครมันกลับทำให้เราได้กลับมาตั้งคำถามกับตัวเองได้อย่างไม่น่าเชื่อว่าหากเรามีครอบครัวที่สมบูรณ์จะเอาไปเสี่ยงเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมมั้ย

หรือกระทั่งการให้ความหมายของครอบครัวที่ไปไกลกว่าแค่บ้านที่มีพ่อแม่ลูกแต่เป็นมิตรสหายที่เข้าอกเข้าใจเป็นคนแบบเดียวกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองที่มันสามารถเชื่อมโยงและสัมผัสใจคนดูได้เป็นอย่างดีในหนังมาร์เวลตลอด 12 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถ้าสังเกตดีๆในหนังของมาร์เวลจะแอบแทรกดราม่าครอบครัวไว้ตลอด ไม่เว้นแม้แต่หนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ดูหน้าหนังมุ่งขายความบันเทิงอย่าง Endgame ก็ยังใช้ดราม่าครอบครัวมาเชื่อมร้อยปมต่างๆในหนังได้เป็นอย่างดี และมันยังเป็นเหตุผลรองรับและเดิมพันครั้งใหญ่ในการต่อสู้ของตัวละครทุกตัวได้เป็นอย่างดี ทั้งในแง่ครอบครัวแบบพ่อ แม่ ลูก หรือครอบครัวอเวนเจอร์สที่ผูกพันกันมากกว่าแค่มิตรสหายร่วมรบธรรมดา

อีกส่วนหนึ่งของหนังที่อยากชื่นชมคือการพยายามเปลี่ยนทัศนคติและสร้างมุมมองด้านบวกต่อเพื่อนมนุษย์ ทั้งการให้ความโดดเด่นกับตัวละครผู้หญิง ด้วยภาพลักษณ์ของนักรบที่พร้อมทั้งความงามและความกล้าหาญ รวมไปถึงบทบาทสำคัญในการประคับประคองครอบครัว หรือการให้พื้นที่คนผิวสีในหนังฮีโร่ ซึ่งแม้จะมีช่วงเวลาโชว์พลังหรือความโดดเด่นน้อยไปหน่อย

แต่เรียกได้ว่าแมสเสจที่ผู้สร้างพยายามจะส่งผ่านไปยังผู้ชมก็สามารถรับรู้ได้เป็นอย่างดี ถือเป็นการสานต่ออารมณ์ร่วมของยุคสมัยทั้งการเมืองเรื่องเพศ การเมืองเรื่องสีผิว และทำให้ภาพลักษณ์ขององค์กรอย่างดิสนีย์ ดูเป็นองค์กรที่มีความหลากหลายในเชิงพหุวัฒนธรรมจากคอนเทนต์ที่ผลิตมาตลอด 12 ปีนี้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งสิ่งที่ผมชอบที่สุดคือแม้ชื่อภาคและการตลาดจะทำให้เราจดจ่อแค่ว่าเหล่าฮีโร่จะจัดการกับธานอสยังไง แต่ที่จริงมันกลับมีเรื่องเล่าที่สัมผัสใจ และความสนุกที่เกินพิกัดเท่าที่หนังเรื่องหนึ่งจะให้ได้จริงๆ

Avengers: Endgame นี่คือตอนจบหรือบทสรุปของอภิมหาตำนานปกป้องจักรวาลและโลกของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ (นับจำนวนไม่ถ้วน) ที่คนทำหนังอุตส่าห์ปลุกปั้นและฟูมฟักมายาวนาน สิริแล้วกินเวลา 11 ปี
หนังค่อยๆ โน้มน้าวชักจูงให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงเลือดเนื้อ ตลอดจนความมีชีวิตของตัวละคร นั่นรวมถึงภาวะ PTSD หรือหดหู่ซึมเศร้าของบางคนหลังจากผ่านโศกนาฏกรรม และมันช่วยให้หนังมีทั้งมิติ ตลอดจนความหลากหลายมากขึ้น
มองในแง่มุมหนึ่ง ธานอสก็ไม่แตกต่างจาก พอล พต ผู้นำเขมรแดงที่อยู่เบื้องหลังการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และจัดระบบระเบียบสังคมด้วยวิธีการแบบขวานผ่าซากและเถรตรง ทว่าส่วนที่ชวนให้ครุ่นคิดจริงๆ ก็คือ ทั้งหลายทั้งปวงในพฤติการณ์ของธานอสตั้งอยู่บนความปรารถนาดี

เอาเป็นว่า ไม่ว่าใครจะนับว่ามากหรือน้อยแค่ไหน ถือเป็นการสปอยล์หนังหรือเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเรื่องหรือไม่และอย่างไร ชื่อหนัง Avengers: Endgame ผลงานกำกับของสองพี่น้องรุสโซก็บอกตัวมันเองอย่างโทนโท่ว่า นี่คือตอนจบหรือบทสรุปของอภิมหาตำนานปกป้องจักรวาลและโลกของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ (นับจำนวนไม่ถ้วน) ที่คนทำหนังอุตส่าห์ปลุกปั้นและฟูมฟักมายาวนาน สิริแล้วกินเวลา 11 ปี ประกอบไปด้วยหนังในเครือข่ายจักรวาลมาร์เวลทั้งสิ้น 22 เรื่อง

รีวิว Avengers Endgame

​และก็อย่างที่รู้กันว่า Avengers: Endgame เป็นตอนต่อโดยตรงจาก Avengers: Infinity War (2018) สิ่งที่อนุมานได้ไม่ยากก็คือ ภารกิจสำคัญของหนังเรื่อง Avengers: Endgame ย่อมหนีไม่พ้นการสานต่อเนื้อหาของตอนก่อนหน้าที่จบลงอย่างชนิดที่แทบไม่หลงเหลือความหวังใดๆ ให้กับผู้ชม เว็บดูหนัง

บรรยายสรุปอย่างย่นย่อ เหล่าซูเปอร์ฮีโร่ทั้งทีมอเวนเจอร์สและทีมกัปตันอเมริกา (ซึ่งบาดหมางในเชิงอุดมการณ์ในตอน Captain America: Civil War) ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้อย่างหมดรูป หัวหน้าทีมอย่าง โทนี สตาร์ก กำลังเผชิญวาระสุดท้ายของตัวเองนอกโลก แม่ทัพนายกองหลายคนต้องกลายสภาพเป็นเถ้าธุลี เนื่องจากพลังจากการ

‘ดีดนิ้ว’ ของ ธานอส จอมวายร้ายเจ้าของถุงมือมหาประลัย ซึ่งประดับประดาไว้ด้วยอัญมณีครองพิภพทั้ง 6 ก้อน หรือหากจะพูดให้ครบถ้วน ไม่ใช่เพียงแค่เหล่าซูเปอร์ฮีโร่ราวๆ ครึ่งค่อนที่มอดม้วยมรณา แต่ครึ่งหนึ่งของสรรพชีวิตในระบบกาแล็กซีก็ต้องพลอยล้มหายตายจากไปด้วย จากแนวนโยบายอันเลือดเย็นและโหดเหี้ยมของจอมเผด็จการธานอส ผู้ซึ่งมองว่านั่นเป็นหนทางเดียวที่จะพิทักษ์รักษาให้จักรวาลกลับคืนสู่ความสมดุลและอยู่รอด

พูดง่ายๆ ในแง่ของการเล่าเรื่อง Avengers: Endgame ไม่มีทางเลือกมากนัก นอกจากเก็บชิ้นส่วนที่หักพังและแตกร้าวจากภาคก่อนหน้า และค่อยๆ นำมาประสานให้เข้ารูปเข้ารอย และในขณะที่การเริ่มต้นเอ่ยถึงเนื้อหาของหนังเรื่อง Avengers: Endgame สุ่มเสี่ยงต่อข้อกล่าวหาว่าเฉลยปมหรือจุดหักเหสำคัญของเรื่อง ว่ากันตามจริง แท็กติกและวิธีการที่คนทำหนังพาเหล่าตัวละครออกไปจากมุมอับในช่วงท้ายของตอนก่อนหน้า และเป็นจุดเริ่มต้นของตอนนี้ นอกจากไม่ได้เป็นของแปลกใหม่ ยังเป็นลูกเล่นเดียวกันกับหนังเกรดบีแนว Cliffhanger ในช่วงทศวรรษ 1950 ไม่มีผิดเพี้ยน

หรือระบุให้แจ้งชัดอีกนิด จุดเริ่มต้นเนื้อหาของ Avengers: Endgame ไม่ได้มีสถานะเป็นความลับเท่ากับเซอร์ไพรส์ ซึ่งว่าไปแล้วผู้สร้างก็ทิ้งเงื่อนงำเอาไว้ใน End Credit ของตอนที่แล้วพอสมควร และน่าเชื่อว่าไม่ได้เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายสำหรับเหล่าสาวกมาร์เวลสักเท่าไร แต่ว่ากันตามจริง คนทำหนังต้องทำอะไรสักอย่างอยู่แล้วเพื่อให้เรื่องดำเนินไปต่อได้ ประเด็นจึงอยู่ที่ว่ามันดูแนบเนียนและสมเหตุสมผล หรือว่าเป็นเพียงแค่การหักหลังคนดูอย่างหน้าไม่อาย ซึ่งในกรณีของ Avengers: Endgame ก็คงต้องบอกว่าคนทำหนังสามารถเอาตัวรอดไปได้อย่างลอยนวล

เรื่องหนึ่งที่มีคนพูดถึงกันมาก

อีกเรื่องหนึ่งที่มีคนพูดถึงกันมากก็คือ ความยาวของหนังที่กินเวลาฉาย 3 ชั่วโมงกับอีก 1 นาที ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ได้เนิ่นนานเป็นพิเศษสักเท่าใด แต่ที่น่าทึ่งและกล่าวได้ว่า เป็นอะไรที่เหมือนกับไม่เคยปรากฏอย่างเป็นกิจจะลักษณะมาก่อนก็คือ หนังไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับการเดินเรื่องที่เต็มไปด้วยรายละเอียดยุ่บยั่บ ตลอดจนให้น้ำหนักกับฉากต่อสู้อย่างบ้าคลั่งและวินาศสันตะโรเพียงลำพัง ซึ่งพูดอย่างแฟร์ๆ มันก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ตามประสาหนังที่เต็มไปด้วยตัวละครเป็นสิบๆ ทว่าจังหวะจะโคนในการถ่ายทอด โดยเฉพาะราวๆ ชั่วโมงแรกดำเนินไปอย่างไม่รีบเร่ง และลงทุนกับเวลาที่ผ่านพ้นไปในแง่ที่ค่อยๆ โน้มน้าวชักจูงให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงเลือดเนื้อ ตลอดจนความมีชีวิตของตัวละคร นั่นรวมถึงภาวะ PTSD หรือหดหู่ซึมเศร้าของบางคนหลังจากผ่านโศกนาฏกรรม และมันช่วยให้หนังมีทั้งมิติ ตลอดจนความหลากหลายมากขึ้น เมื่อเทียบกับตอนอื่นๆ ที่ไม่ค่อยเปิดโอกาสให้เราได้เห็นด้านเหล่านี้ของตัวละคร อีกทั้งเมื่อถึงเวลาต้องเก็บเกี่ยวดอกผลทางอารมณ์ในช่วงราวๆ ครึ่งชั่วโมงท้าย มันก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่การบิลด์หรือการกระตุ้นเร้าอย่างซึ่งๆ หน้า และผู้ชมรู้สึกว่านี่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างเรากับตัวละครที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน และเป็นห้วงเวลาแห่งความรู้สึกอาลัยอาวรณ์

แต่จริงๆ แล้วไม่จำเพาะส่วนของดรามาติกของหนังที่ได้รับการขยับขยายอย่างเป็นรูปธรรม ความฉลาดของหนังเรื่อง Avengers: Endgame โดยเฉพาะในแง่ของการวางกรอบการเล่า ยังชักชวนผู้ชมและรวมถึงเหล่าสาวกผู้จงรักภักดี ได้ย้อนอดีตและหวนกลับไปรำลึกความหลังด้วยกัน และในขณะที่ผู้ชมที่โคจรอยู่นอกระบบสุริยะจักรวาลของมาร์เวลอาจจะต่อไม่ติดและเข้าไม่ถึง หรือแม้กระทั่งรู้สึกว่ามันกินเวลาของหนังเยอะเกินไป การรื้อฟื้นช่วงเวลาสำคัญต่างๆ ของตอนที่อยู่ก่อนหน้า ซึ่งหลายๆ ฉากผ่านการรับรู้ของเรามาแล้ว ไม่เพียงเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้พบหน้าค่าตาบรรดาตัวละครที่ในห้วงเวลาปกติ เราคงจะไม่ได้เห็นการมารวมตัวอย่างคับคั่งขนาดนี้ (ส่วนตัวแล้วมีอยู่ 2 คนเป็นอย่างน้อยที่นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นในหนังเรื่อง Avengers: Endgame คนหนึ่งก็คือ เรเน่ รุสโซ ผู้ซึ่งแฟนๆ คงพอจำได้ว่าเธอคือแม่ผู้ล่วงลับของธอร์ อีกคนได้แก่ โรเบิร์ต เรดฟอร์ด เจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยชิลด์ และโดยปริยาย รายชื่อของนักแสดงที่เกี่ยวข้องกับมหากาพย์อันยืดยาวนี้ครอบคลุมตั้งแต่รุ่นลายครามจนถึงรุ่นที่เกิดก่อนมิลเลนเนียมไม่นาน) ลูกเล่นดังกล่าวยังเป็นเสมือนการตอกย้ำถึงความเป็นตำนานที่ย้อนกลับไปยาวไกล หรือหากจะขยายความต่ออีกนิด โมเมนต์ต่างๆ เหล่านี้มีส่วนเพิ่มเติมปมขัดแย้งให้กับตัวละครในการเลือกระหว่างภารกิจเพื่อส่วนรวมหรือส่วนตัว

​ไม่ว่าจะอย่างไร มีตัวละครหนึ่งที่น่าเอ่ยถึงเป็นพิเศษ นั่นคือ ธานอส (จอช โบรลิน) บทบาทของตัวละครนี้ใน Avengers: Endgame ไม่ได้มากมายนักเมื่อเทียบกับ Avengers: Infinity War ซึ่งเจ้าตัวมีสถานะเป็นเหมือนตัวชูโรง กระนั้นก็ตาม รังสีอำมหิตของเขาก็ยังคงแผ่ซ่านปกคลุม และความโดดเด่นอย่างที่สุดของตัวละครนี้ไม่ใช่ความกราดเกรี้ยวดุดันตามประสาตัวร้ายของหนังซูเปอร์ฮีโร่ ตรงกันข้าม บุคลิกของธานอสดูเป็นคนเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า ซึ่งน่าเชื่อว่าเป็นผลพวงจากการต้องพบเจอกับความสูญเสียก่อนหน้า และความมุ่งมาดปรารถนาของเขาก็เป็นดังที่เอ่ยถึงข้างต้น ลดจำนวนประชากรลงครึ่งหนึ่งเพื่อให้จักรภพดำรงอยู่ต่อไป

ดูหนังใหม่ได้ที่ เว็บดูหนังฟรี

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *