รีวิว the darkest minds
รีวิวหนัง อีกหนึ่งความ พยายาม ของ ฮอลลีวู้ด ที่ยังคงฝากความหวังไว้กับ นิยาย ที่เกี่ยวกับ เยาวชน แล้วก็มาถึงคิวของ The Darkest Minds อีกนิยายซีรีส์ที่ขายดีมากกกกผลงานของนักเขียนหญิงคนสวย อเล็กซานเดอร์ แบร็คเค็น คนนี้นั้นเอง
ที่ออกเล่มแรกมาเมื่อปี 2012 ลากยาวมาจนถึง เล่ม 6 ที่เพิ่งออกมาเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง และน่าจะยังไม่อวสานด้วย ตัวนิยายขายดีจนขึ้นถึงอันดับ 1 ของนิวยอร์ค ไทม์ ซึ่งก็แน่นอนว่าจะต้องถูกซื้อลิขสิทธิ์มาสร้างเป็นหนัง เพราะถ้าหนังฮิตก็หากินได้ยาว ๆ อีกหลายภาค
อเล็กซานเดอร์ แบร็คเค็น เจ้าของเรื่อง สวยยังกะดาราฮอลลีวู้ด
เรื่องราวของ The Darkest Minds มีองค์ประกอบที่น่าสนใจเพราะบรรดาตัวละครนำของเรื่องล้วนแล้วแต่เป็นวัยรุ่นที่มีพลังจิต หนังเล่าเรื่องราวในโลกอนาคตอันใกล้ ที่อยู่ดี ๆ บรรดาเด็ก ๆ ก็ล้มตายไปเสียเฉย ๆ กว่า98% ส่วนที่เหลือ 2% ก็กลายเป็นเด็กที่มีพลังจิต รัฐบาลจึงต้องจัดตั้งแคมป์ขึ้นมาดูแลเด็กพวกนี้โดยแบ่งเด็กออกเป็น 5 ระดับ ตามขีดความอันตรายของพลังจิต จาก เขียว , น้ำเงิน , ทอง , ส้ม , แดง
รีวิว the darkest minds
นางเอกของเรื่องคือ รูบี้ เดลี่ สาวน้อยวัย 16 ที่มีพลังจิตในระดับสีส้ม เธอสามารถอ่านใจและบังคับควบคุมจิตใจเป้าหมายด้วยการสัมผัสตัวเป้าหมายเท่านั้น แต่รูบี้ก็แฝงตัวอยู่ในกลุ่มสีเขียว เพราะถ้าใครรู้ว่าเธอเป็นกลุ่มสีส้ม จะต้องถูกคุมเข้มแน่นหนาเพราะถือว่าเป็นกลุ่มอันตราย แต่ไม่นานจากนั้นสถานะของเธอก็ถูกเปิดเผย และจะถูกกำจัด รูบี้ได้รับความช่วยเหลือจาก “เคต” แพทย์สาวที่เป็นสมาชิกกลุ่มเดอะลีก องค์กรอิสระที่ตั้งตนขึ้นมาเพื่อต่อต้านรัฐบาล เคตพารูบี้หนีออกจากแคมป์ได้สำเร็จ และมี”ร็อบ”สมาชิกเดอะลีกมาร่วมเดินทาง รูบี้สัมผัสร่างของร็อบโดยบังเอิญ และรู้สึกว่าเธอไม่น่าจะปลอดภัยถ้าอยู่กับร็อบ รูบี้ตัดสินใจหนีจากเคตและร็อบ และได้พบกับเพื่อนใหม่ เลียม , ชับบ์ และซู ทั้ง 4 ร่วมผจญภัยด้วยกันเพื่อตามหากลุ่มของ สลิปคิด แก๊งเด็กที่หนีจากการแคมป์ของรัฐบาลมารวมตัวกัน ระหว่างทางก็ต้องเจอกับอุปสรรคมากมาย
พลอตหนังน่าสนใจมากมายเพราะตัวเอกของเรื่องเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ ที่แต่ละคนก็มีความสามารถแตกต่างกันไป และนำมาใช้ป้องกันตัวในยามคับขันได้ดี เดินเรื่องด้วยการผจญภัยมากมาย ต้องเจอกับแก๊งเด็กกลายพันธุ์ด้วยกัน นักล่าค่าหัวจอมโหด และจุดหมายปลายทางกลุ่มของสลิปคิดที่จะเป็นดินแดนสงบสุขอย่างที่คาดหรือไม่ หนังยังสอดแทรกบทโรแมนติกกุ๊กกิ๊กระหว่างรูบี้ กับ เลียม และความน่าสงสัยในจุดยืนของเดอะลีก และ สลิปคิด ว่าแท้จริงแล้วกลุ่มไหนที่จะไว้ใจได้จริง
หนังได้ เจนนิเฟอร์ ยูห์ เนลสัน ผู้กำกับหญิงเชื้อสายเกาหลีมารับหน้าที่ ชื่ออาจจะไม่คุ้น แต่ผลงานที่ผ่านมาของเธออย่าง Kungfu Panda 2 และ 3 ก็ประสบความสำเร็จด้วยดี แต่เมื่อมาจับหนังคนแสดงก็เลยเล่าทุกอย่างออกมาดูเบาบาง สิ่งหนึ่งที่เป็นเสน่ห์ของ The Darkest Minds ก็คืออมันด์ลา สเตนเบิร์ก ดาราสาววัย 20 ที่มารับบทรูบี้ อมันด์ลามีเสน่ห์น่ามองในหลาย ๆ มุม เป็นสาวผิวสีที่ดูสวย ดูแล้วพอจะเชื่อได้ว่าเธอเป็นเด็กสาววัย 16 และ The Darkest Minds ก็ไม่ใช่งานหนังจากนิยายเยาวชนเรื่องแรกของเธอ เพราะตอนอายุ 14 เธอก็เคยรับบทเป็น “ริว” ใน The Hunger Games ภาคแรกมาแล้ว
อมันด์ลา สเตนเบิร์ก ตอนที่รับบท “ริว” ใน The Hunger Games (2012)
ที่เซอร์ไพรส์สุดคือ แมนดี้ มัวร์ อดีตนางเอกคนสวย และนักร้องชื่อดัง ที่ไปเอาดีกับการแสดงทีวีซีรีส์ กลับมาแสดงอีกครั้งในวัย 34 ในบทคุณหมอเคต กับใบหน้าที่อวบอิ่มขึ้น และไฝบนโหนกแก้มขวาที่เป็นโลโก้ของเธอก็หายไปแล้ว ปีที่แล้วดู 47 Meters Down ยังเห็นไฝอยู่เลย
the darkest minds
ด้วยเหตุที่หนังมีต้นฉบับเป็นนิยายเยาวชน ทุกอย่างจึงถูกเล่าออกมาในทางสายกลาง ข้อดีก็คือหนังดูได้ทุกเพศทุกวัย ไร้ซึ่งคำหยาบและความรุนแรง แม้ในเรื่องจะเต็มไปด้วยมนุษย์กลายพันธุ์ แต่เรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์ผู้มีความสามารถทางด้านพลังจิตก็ถูกเล่าบนจอมาแล้วหลายต่อหลายรอบ ไม่ได้มีความสามารถที่แปลกใหม่น่าตื่นตา โครงเรื่องถ้ามองกว้าง ๆ ก็มาตามอีหรอบเดิมของนิยายเยาวชนที่ทุกเรื่องจะต้องมีรัฐบาลเป็นตัวร้ายและเหล่าเด็กขบถเป็นตัวเอกทั้ง Divergent , The Hunger Games , Maze Runner แล้วในฐานะผู้ที่มาทีหลัง แต่ไม่สามารถเล่าเรื่องได้แปลกใหม่และเข้มข้นกว่า 1 ชั่วโมง 45 นาทีของหนัง ถือว่าอัดแน่นด้วยเรื่องราวมากมาย ในฐานะหนังภาคแรกทีต้องเล่าที่ไปที่มาของตัวละครหลัก และหลายกลุ่มหลายก๊วนในเรื่อง หนังเล่าเรื่องได้เคลียร์ไม่สับสน แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือ “ความเข้นข้นของเนื้อหา”
ขยายความคำว่า “ขาดความเข้มข้นของเนื้อหา”
ความสามารถของ “รูบี้” คือการอ่านใจ และ สะกดจิต เป้าหมาย จึงเป็นความสามารถในเชิงตั้งรับมากกว่าโจมตี จึงไม่เอื้อให้เกิดความความมันส์ในฉากแอ็คชั่น
หนังอยู่ในกรอบของ “นิยายเยาวชน” จึงไม่มีฉากรุนแรง ไม่มีเลือด ไม่มีคนตายให้เห็น ฉากไหนที่รุนแรงก็จะตัดให้ได้ยินแค่เสียง เดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านหลังประตู
ที่น่าผิดหวังสุดคือ “กลุ่มสีแดง” ที่ปูความมาว่า เป็นกลุ่มที่อันตรายที่สุด และหายากที่สุด แต่เมื่อเปิดตัวออกมา เห็นแล้วก็………เฮ้อ ไม่ได้เป็นเพิ่มสีสันให้กับฉากแอ็คชั่นเลย
ตัวร้ายของเรื่อง ขาดซึ่งความ “เลว” และ “ร้ายกาจ” ซึ่งจะเป็นพลังขับเคลื่อนให้กับภาคต่อ ๆ ไป สุดท้ายการที่ รูบี้ ลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาล ก็ยังอยู่บนเหตุผลที่บางเบา เพราะเธอยังไร้ซึ่งความแค้น ต่างกับ แคตนิส ใน The Hunger Games มาก
ปริศนาที่ปูมาถึงเป้าหมายของทั้ง “เดอะลีก” และ “สลิปคิด” ก็เฉลยออกมาหมดสิ้นแล้ว ด้วยตัวปริศนาเองก็ไม่ได้ลึกลับชวนใคร่รู้อยู่แล้ว ทำให้ขาดความกระหายที่จะอยากดูภาคต่อไป
The Darkest Minds จึงเป็นภาคที่ออกสตาร์ทได้ไม่สวยนัก หนังอยู่ในระดับที่พอดูได้เพลิน ๆ อยากลุกไปเข้าห้องน้ำตอนไหนก็ได้ ไม่ต้องกังวลใจว่าจะพลาดอะไรไป กับเนื้อหาที่ขาดความเข้มข้นที่เป็นปัจจัยหลักที่จะพาให้หนังสานต่อเป็นแฟรนไชส์ยาว ๆ ได้ The Darkest Minds จึงเหมาะกว่าที่จะสร้างออกมาเป็นซีรีส์ ก็ตกอยู่ในสภานะที่น่าเป็นห่วง มีแววว่าหนังจะหยุดอยู่แค่ภาคแรก แต่ว่าหนังใช้ทุนสร้างไปแค่ 35 ล้านเหรียญ ถ้าคว่ำขึ้นมา ค่ายก็ไม่เจ็บตัวนัก
เราคิดว่าเป็นหนังแนวแอ๊คชั่นดราม่า ที่เกี่ยวกับเด็กวัยรุ่นต้องการหลีกหนีภัยอันตรายจากโลกายนอก… เมื่อพอดูไปเลยมีความคิดในหัวว่า มันเหมือนกับหนังแนววัยรุ่นเผชิญปัญหาเอาตัวรอด หรือเป็นแนวดิสโทเปียที่สร้างมาจากหนังสือ ที่เคยสร้างกันเกร่อในยุคหนึ่ง เพียงแต่มันก็ไม่ได้ดีมากมาย ก็ไม่ได้แย่อะไรมากมาย …มันอยู่ในระดับกลางๆ คือเหมือนจะดีแต่ก็งั้นๆ
หนังง่ายๆ ดำเนินเรื่องไปเร็วๆ ไม่อธิบายปูความอะไรให้มากความ บางครั้งบทก็เล่นง่ายๆ ขาดความน่าเชื่อถือไปหรือบางทีเราก็พอจะเดาเนื้อเรื่องได้ว่ามันจะเป็นอย่างไร ตัวละครนี้มีลับลมคมในอะไร แม้กระทั่งพอเดาได้ด้วยซ้ำว่ามันจะไม่จบเพียงเรื่องนี้แน่นอน (ใช่แล้ว ผมหมายถึงหนังทำตัวทิ้งเชื้อเอาไว้ให้คนดูไปติดตามต่อในครั้งหน้า แต่คิดว่าน่าจะมีแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว) ไม่มีไรสัมพันธ์ให้ติดไปทั้งเรื่อง แต่เราชอบความเป็นหนังโรแมนติกของมันนะ รู้สึกว่า มันน่าติดตามดี เพราะหนังมันปูความโรแมนซ์มาตลอดทาง แม้มันค่อนข้างจะรวบรวดและเทสัดส่วนหนังไปเล่าตรงอื่น แต่พอมาถึงฉากนี้เรารู้สึกเองว่า มันน่าดู อืม ฉากโรแมนติกตอนใกล้จบก็ดีเหมือนกัน ชอบในการตัดสินใจของนางเอก
แต่โดยรวม หนังก็กลางๆ ไปไม่สุดสักทาง ฉากแอ๊คชั่นมันส์ๆ ก็พอโอเคอยู่ ช่วยเสริมให้ตื่นเต้น …บางฉาก บางซีนหนังมีอารมณ์เหมือนกับเป็นหนัง Coming of age ด้วย ยิ่งการใช้เพลงมาประกอบในหลายๆ ฉาก ก็ยิ่งทำให้มันดูเป็นหนังรักวัยรุ่นหรือหนังแนวก้าวพ้นวัยมากกว่า ส่วนพลังนักแสดงอะไรก็ไม่ได้โดดเด่นหรือมีเสน่ห์มากเท่าไหร่ที่จะทำให้เราอยากติดตามกับหนัง