รีวิว Jungle Cruise
รีวิวหนังฮิต เรื่องย่อ ‘กัปตันแฟรงก์ วูล์ฟ’ (Dwayne Johnson) ผู้ปราดเปรื่อง แสนชาญชลาด และ ‘ดร. ลิลี ฮัฟตัน’ (Emily Blunt) นักสำรวจ ผู้กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ลิลี่เดินทางจากลอนดอนสู่ป่าแอมะซอน อันลึกลับ พร้อมทั้งว่าจ้างแฟรงค์ให้เป็นผู้นำทางในการล่องแม่น้ำอเมซอน
โดยเรือคู่ใจของเขา ‘La Quila’ ที่แม้สภาพจะโคลงเคลงแต่ก็ยังดูดี ลิลีมีความมุ่งมั่นที่จะตามหาต้นไม้ในตำนานที่มีความสามารถในการรักษา เพื่อนำพลังนี้มาใช้พัฒนาการแพทย์ ในการผจญภัยครั้งนี้ทั้งสองจะต้องเผชิญกับอันตรายที่ไม่คาดฝันจากสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ และส่ิงล่อลวงอันสวยงามในป่านี้ แต่ยิ่งเข้าใกล้ความลับของต้นไม้ในตำนานเท่าไหร่ ทั้งลิลี่และแฟรงค์ต่างวางเงินเดิมพันสูงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับชะตาของมนุษย์ที่อาจจะสั่นคลอน
‘Jungle Cruise’ หรือ ‘ผจญภัยล่องป่ามหัศจรรย์’ นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ถูกเลื่อนมาเพราะพิษโควิด-19 มาตั้งแต่ประมาณเดือนสิงหาคม (ในขณะที่บางประเทศเค้าได้ดูกันไปหมดแล้วนะ (555) ในที่สุดก็ได้มีโอกาสเข้าฉายในประเทศไทยเสียที ซึ่งหลังจากที่เคยปลุกปั้นแฟรนไชส์ ‘Pirates of the Caribbean’ ที่ได้แรงบันดาลใจจากเครื่องเล่นในสวนสนุก Disneyland ได้สำเร็จแบบขึ้นหม้อกันแบบสุด ๆ ไปแล้ว
คราวนี้ ดิสนีย์ก็ลองหยิบเอาเครื่องเล่นอีกตัวอย่าง ‘Jungle Cruise’ มาปั้นเป็นหนังกันอีกครั้ง พร้อมกับผสมผสานการผจญภัยในลุ่มน้ำแอมะซอน และผสมกับตำนานลี้ลับแฟนตาซีในแบบที่ดิสนีย์ถนัด ซึ่งกระแสที่ฉายไปแล้วในบางประเทศ รวมทั้งที่ฉายใน Disney+ Premier Access (บริการซื้อภาพยนตร์ล่วงหน้าและฉายพร้อมกับในโรงภาพยนตร์) ก็ถือว่ากระแสค่อนข้างดีมาก แว่ว ๆ ว่าจะมีการสร้างภาคต่อกันแล้วด้วยนะครับ
อย่างที่บอกว่า หนังเรื่องนี้เขาหยิบเอาเครื่องเล่นเรือในสวนสนุกมาต่อยอดเป็นภาพยนตร์แนวแฟนตาซีลี้ลับเหนือธรรมชาติ และเรื่องราวพล็อตการผจญภัยในแม่น้ำแอมะซอน ว่าด้วยเรื่องราวที่ย้อนไปในปี 1912 ก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง 2 ปี ‘ดร. ลิลี ฮัฟตัน’ (Emily Blunt) นักพฤกษศาสตร์ที่เดินทางจากลอนดอนมาสู่ป่าแอใะซอน ได้ว่าจ้าง ‘กัปตันแฟรงก์ วูล์ฟ’ (Dwayne Johnson) กัปตันเจ้าของเรือล่องแม่น้ำสภาพจวนเจ๊งที่มีชื่อว่า ‘ลา กิลา’ (La Quila) โดยมีภารกิจในการตามหา ‘น้ำตาแห่งจันทรา’ ต้นไม้ในตำนานที่มีความเชื่อว่า ดอกของต้นไม้นี้มีพลังลี้ลับที่สามารถรักษาโรคให้หายได้ โดยในระหว่างทางทั้งคู่ก็จะต้องเจอกับอุปสรรคต่าง ๆ นานาระหว่างทาง ทั้งตำนานคำสาปที่ถูกปลุกขึ้นจากการหลับไหล และคู่แข่งที่ก็ต้องการน้ำตาแห่งจันทราเพื่อชัยชนะแห่งสงครามเช่นเดียวกัน เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี
รีวิว Jungle Cruise
ตัวบทเองถ้าใครที่ชื่นชอบหนังดิสนีย์ทำนองนี้ ก็เชื่อได้ว่าน่าจะไม่ผิดหวังล่ะครับ เพราะว่าเป็นหนังแนวถนัดเลย จำพวกหนังผจญภัยหนักซีจีแทรกอารมณ์ขันดูได้ทั้งครอบครัวเนี่ย ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็ดูได้ทั้งครอบครัวนั่นแหละ แม้ว่าออกจะมีความรุนแรงแทรก ๆ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ถึงกับโหดเหี้ยมเท่าไหร่นัก เป็นหนังที่เด็ก ๆ น่าจะพอดูได้แบบสบาย ๆ
อีกอย่างในหนังที่ต้องพูดถึงก็คือ ตัวหนังทั้งเรื่องจะมีมุกจัดวางแบบซิตคอมเยอะมาก ๆ ครับ คือตัวบทนี่เรียกได้ว่าคิดทุกเม็ดเพื่อหวังผลด้านความบันเทิงล้วน ๆ ขนาดมุกแป้กที่อีตากัปตันแฟรงค์ วูล์ฟ เล่นกับนักท่องเที่ยว ยังเป็นมุกที่แบบว่า ตั้งใจเจตนาให้ออกมาแป้กแบบจริง ๆ จัง ๆ (555) แต่มุกที่ตั้งใจเอาฮาก็ถือว่าไม่เลวร้ายนะครับ แบบว่าพอเอาไหล่สั่น ๆ ได้ รวมทั้งการดำเนินเหตุการณ์แบบซิตคอม ประเภทเหตุการณ์พามาป๊ะกันแบบบังเอิญ หรือหักมุมแบบฮา ๆ ซึ่งก็เป็นไปตามสไตล์หนังดิสนีย์เลย เรียกว่าเป็นหนังที่ดูเพื่อความเพลิดเพลินเจริญใจสำหรับครอบครัวอย่างแท้จริง
รวมทั้งตัวหนังเองก็ผสานความเป็นหนังผจญภัยเอาไว้ คือมันก็เป็นหนังผจญภัยนี่แหละ แต่ก็มีการผสมผสานกลิ่นอายจากหนังแอ็กชัน หนังผจญภัยหลาย ๆ เรื่อง ทั้ง ‘Jumanji’ หนังบู๊สู้ผีคืนชีพสไตล์ ‘The Mummy’ หรือแม้แต่หนังสวนสนุกรุ่นพี่อย่าง ‘Pirates of the Caribbean’ ซึ่งก็ทำออกมาได้แบบแฟนตาซีมาก ๆ รวมทั้ง ฉากบู๊สไตล์ Comedy Action นี่ก็เรียกได้ว่าได้แรงบันดาลใจมาจากหนังแอ็กชันสไตล์เฉินหลงแบบไม่ต้องสงสัย แม้ว่าจะไม่ได้เน้นหนักมากก็ตาม ส่วนงานซีจีเอาจริง ๆ ความรู้สึกของผู้เขียนก็แอบรู้สึกลอย ๆ หลุด ๆ ในบางจุด โดยเฉพาะน้องเฉือดาว (เสือดาว) ‘พร็อกซิมา’ ที่ทำออกมาได้น่ารักน่าชังมาก ๆ แต่ก็ยังแอบไม่เนียนอยู่บ้าง
อีกจุดที่ถือว่าทำได้เกิดคาดก็คือ เรื่องของบทครับ ที่ตอนแรกหลายคนอาจจะคิดว่ามันเป็นเพียงแค่หนังล่องเรือผจญภัยเฉย ๆ แต่ที่ทำได้อย่างน่าทึ่งก็คือ ตัวหนังมีพล็อตทวิสต์อยู่หลายจุดเหมือนกัน แต่ก็มีหลัก ๆ ที่ว้าวมาก ๆ อยู่จุดเดียวนั่นแหละนะครับ อันอื่น ๆ ไม่ได้เกินคาดเท่าไหร่ ส่วนอีกจุดที่น่าสนใจคือ เรื่องเกี่ยวกับประเด็นเรื่องเพศสภาพครับ ด้วยความที่ว่าตัวเนื้อเรื่องเล่าย้อนไปในปี 1912 หรือก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง 2 ปี แม้ว่าประเด็นก็ยังออกจะซ้ำ ๆ กับหนังเรื่องอื่น ๆ อยู่บ้าง ตั้งแต่เรื่องของการดูหมิ่นดูแคลน ไม่ยอมรับผู้หญิงในแวดวงนักวิทยาศาสตร์ การที่ผู้หญิงใส่กางเกง ไม่ยอมใส่กระโปรง ที่สมัยนั้นถือว่าโคตรแปลก
หรือแม้แต่ ‘แม็กเกรเกอร์ ฮิวจ์ตัน’ น้องชายของลิลี ซึ่งเป็นตัวแทนของ LGBT ที่โดนขับออกจากสังคมเพราะไม่มีใครยอมรับ ซึ่ง ‘Jack Whitehall’ ก็สามารถแสดงออกมาได้อย่างพอดี ไม่ล้นเกินควร แต่โดยรวม ๆ ทั้งหมดนี้ตัวหนังสามารถแทรกประเด็นเหล่านี้เอาไว้ได้ออกมาพอดี ไม่ถึงกับสั่งสอนหรือยัดเยียด ส่วนนักแสดงหลัก ๆ ทั้งพี่เดอะ ร็อก และเอมิลี บลันต์ ก็ถือว่าเป็นคู่ที่แสดงกันได้อย่างเข้าขามาก ๆ โดยเฉพาะ พี่เดอะ ร็อก หรือ กัปตันแฟรงก์ วูล์ฟ สามารถรับบทกัปตันหนุ่มผู้แพรวพราว ช่างเจรจาได้แบบมีเสน่ห์ดีทีเดียว ชนิดที่ว่าผู้เขียนเองก็แอบอดนึกถึง ‘หนังรถซิ่ง’ เรื่องนั้นไม่ได้จริง ๆ เพราะว่ารายนั้นเค้าแสดงได้แบบว่า หน้าเดียวถ้วนจริง ๆ นะครับ (555) หนังฟรี หนังใหม่
ความรู้สึก และ สรุปหลังดูจบ
ส่วนข้อสังเกตนะครับ ด้วยความที่ว่าในหนังเองค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับมุกตลกค่อนข้างมาก เรียกว่าตัวหนังนีี่ขับเคลื่อนด้วยแรงมุกตลกที่หยอดใส่มาเต็มไปหมด แล้วด้วยความที่องก์แรกนั้นเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวของพี่กัปตันเองที่มีนิสัยเจ้าเล่ห์แผนสูงด้วย ก็เลยทำให้กลายเป็นว่าการขับเคลื่อนหนังในช่วงครึ่งแรกนี่ อันไหนที่ดูจริงก็กลายเป็นเล่น ส่วนอะไรที่เล่น ๆ ก็ดูเหมือนไม่จริงซะงั้น ทำให้ในครึ่งแรกนี่เหมือนจะเอาเล่น ๆ จนทำให้ขับเคลื่อนบทเดี๋ยวก็ติดเดี๋ยวก็ดับเหมือนกับเรือในหนังเลย พอติดก็วิ่งฉิว แต่พอดับก็ดับสนิทติดแหง็กซะงั้น แต่พอเข้าช่วงครึ่งหลังก็กลายเป็นว่า กลับดูเอาจริงขึ้น และดูสนุกขึ้นมาก แม้ว่ามุกตลกก็ยังอยู่ แต่ดูจะใส่อย่างถูกจังหวะเวลามากขึ้น และบทแอ็กชันเริ่มทำงานอย่างเต็มที่ เริ่มมีการผจญภัยให้ลุ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็เลยทำให้โดยรวมในครึ่งหลังดูสนุกขึ้นอย่างชนิดที่เรียกว่าเหมือนเรือที่เพิ่งซ่อมเครื่องเสร็จแล้ววิ่งฉิวอะไรอย่างนั้นเลย
โดยสรุปรวมแล้ว หนังเรื่องนี้อาจไม่ใช่หนังโปรแกรมใหญ่เข้ามาถล่มบ็อกซ์ออฟฟิศบ้านเราได้ขนาดนั้น แต่ถ้าใครเบื่อหนังใหญ่ หนังเรื่องนี้ก็น่าจะพอตอบโจทย์สำหรับใครที่อยากดูหนังบันเทิง ฮากรุบกริบแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ดูจบเดินออกจากโรงแบบยิ้ม ๆ และน่าจะเหมาะแก่การดึงมือบุตร ฉุดมือหลาน ประสานมือแฟนไปโรงหนังสุดสัปดาห์นี้ได้อย่างไม่เสียหลาย ได้อารมณ์ผจญภัยเหมือนได้ไปนั่งเรือล่องแม่น้ำ ผจญภัยป่าผีสิง ดูงู ลอดถ้ำน้ำตก เมืองโบราณ ตกใจใส่คนป่า และสัตว์ป่าในสวนสนุกดิสนีย์แลนด์อย่างไรอย่างนั้นเลย
คืออาจจะดูเล่น ๆ ขำ ๆ ทีเล่นทีจริงไปบ้าง แต่มันก็สนุกดีใช่มั้ยล่ะครับ เพียงแต่ว่าในหนังเรื่องนี้มันแฟนตาซีกว่าเยอะเท่านั้นเอง! งานสร้างของผู้กำกับ “เจาเม โกเยต-เซอร์ร่า” ก็ถือว่าทำออกมาได้น่าพอใจ การออกแบบฉากต่างๆ ยังต่างตื่นตาอยู่ แม้ว่าหนังเรื่องนี้กว่าค่อนเรื่องเป็นการถ่ายทำกับเทคนิคพิเศษแทบจะทั้งนั้น และแอบเสียดายเบาๆ ที่บางมุมองค์ประกอบด้านซีจีของหนังก็ยังไม่ค่อยเนียนมากนัก มีหลายจุดที่โดดเด้งออกมา แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้เสียรสชาติภาพรวมของหนังไปแต่อย่างใด งานออกแบบศิลป์ก็ถือว่าทำการบ้านมาได้ดี อยู่ในระดับที่คนดูยกนิ้วให้ได้อยู่
แม้ว่าหนังจะมีความสร้างออกมาเพื่อเป็นหนังเด็ก แต่ก็มีองค์ประกอบที่ไม่ได้เยาวชนจ๋าๆ ยังมีเลิฟไลน์น่ารักๆ สอดแทรกเข้าไปในหนังให้ดูมีอะไรมากยิ่งขึ้น ขณะที่คาแรกเตอร์อื่นๆ ในหนังอาจจะไม่ได้โดดเด่นเท่าไหรที่ควร แต่ก็สามารถสร้างตัวละครออกมาได้สนใจและน่าจดจำ ไม่ว่าจะตัวละครของ “เอ็ดการ์ รามิเรซ” หรือ “เจสซี่ พลีมอนส์” เป็นต้น
โดยภาพรวมแล้ว ก็นับว่า Jungle Cruise เป็นหนังที่อยู่บนมาตรฐานในความเป็นหนังดิสนีย์ ที่ดูง่ายและไม่ซับซ้อน ดูได้เพลินๆ ถ่ายทอดจังหวะต่างๆ ออกมาได้อย่างเป็นมืออาชีพดี ไม่ประหลาดใจที่หนังจะได้ไปต่อในภาคใหม่ เพราะหนังเต็มไปด้วยศักยภาพที่เหลือล้น โดยเฉพาะพลังนักแสดงในระดับนี้ ไม่แน่หนังอาจจะกลายเป็น “Pirates of the Caribbean” ยุคใหม่ ที่กลายเป็นหนังชุดอันทรงคุณค่าลำดับต่อไปก็เป็นได้
สรุปแล้ว Jungle Cruise ก็นับว่าเป็นหนังที่เหมาะกับการนั่งดูกับโรงหนังจอใหญ่ๆ เช่นเดียวกัน เพราะองค์ประกอบภาพและองค์ประกอบศิลป์ทำออกมาได้น่าตื่นตา และมุมกล้องกับเทคนิคพิเศษของหนังก็ทำออกมาเพื่อถ่ายทอดบนจอใหญ่โดยเฉพาะ นี่จึงเป็นหนังดิสนีย์อีกเรื่องที่ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง แต่ก็ยังไม่ถึงกับหนังระดับมาสเตอร์พีชขึ้นหิ้งเหมือนเรื่องอื่นๆ ก่อนหน้านี้ แต่ในอนาคตก็ไม่แน่เหมือนกัน… ดูหนังฟรี,ดูหนังออนไลน์