รีวิว House of Gucci

 

 

 

รีวิวหนังฮิต คงไม่ถือว่าเป็นการสปอยล์หนังอย่างแน่นอน  เพราะว่า ‘House of Gucci’ สร้างจากคดีฆาตกรรมเมื่อปี 1995 ที่ช็อกวงการแฟชั่นและคนทั่วโลก ไม่ว่าคุณจะเป็นสายแฟหรือไม่ก็ตาม ริดลีย์ สก็อตต์ (Ridley Scott) กำกับหนังเรื่องนี้ จากบทที่ อิงจากหนังสือชื่อ ‘The House of Gucci: A Sensational Story of Murder, Madness, Glamour and Greed’ ที่
รีวิว House of Gucci
เขียนโดย ซารา เกย์ ฟอร์เดน (Sara Gay Forden) ซึ่งแน่นอนว่าทายาทในตระกูลกุชชีย่อมรู้สึกไม่พอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ชมหนังเรื่องนี้แล้ว ส่วนแบรนด์ Gucci ไม่ว่าอะไร เปิดไฟเขียวเต็มที่ เพราะตอนนี้อยู่ในบริษัท Kering และบริหารงานโดย มาร์โก บิซซาร์รี ซีอีโอคนปัจจุบันที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลกุชชี แถมยังอนุญาตให้ยืมเครื่องแต่งกายแบบไม่อั้น เพราะถือเป็นการโปรโมตแบรนด์ไปในตัว
รีวิว House of Gucci
‘House of Gucci’ เล่าเรื่องราวแบบไม่ซับซ้อน โดยวางจุดเริ่มต้นของเรื่องอยู่ที่ปี 1978 ช่วงที่เมาริซิโอ กุชชี (อดัม ไดร์เวอร์ – Adam Driver) หนุ่มนักเรียนกฏหมายทายาทกุชชี ตกหลุมรักกับ ปาทริเซีย เรจจิอานี (เลดี้ กาก้า – Lady Gaga) ลูกสาวเจ้าของบริษัทอู่รถบรรทุก แม้จะถูกคัดค้านจากพ่อ โรดอลโฟ กุชชี (เจเรมี ไอเอินส์ – Jeremy Irons) ผู้ถือหุ้นของกุชชี 50% (และเขาจะได้รับต่อ) แต่เมาริซิโอก็ดื้อรั้นหัวชนฝา ยอมเดินออกจากครอบครัวกุชชี่ไปทำงานเป็นพนักงานอู่รถบรรทุกของพ่อปาทริเซียและตัดสินใจขอเธอแต่งงาน จากนั้นไม่นานเมาริซิโอก็ได้รับการทาบทามจากลุงอัลโด (อัล ปาชิโน – Al Pacino) ลูกชายคนโตของกุชชิโอ กุชชี ผู้ก่อตั้งแบรนด์ และเป็นประธานบริษัทในตอนนั้น ให้มาช่วยงานด้านการปรับปรุงภาพลักษณ์ของกุชชีที่เริ่มถูกมองว่าเป็นแบรนด์แฟชั่นที่ล้าสมัย แน่นอนว่าคนที่ไม่ยอมปล่อยให้โอกาสทองนี้หลุดมือไปและคอยหนุนหลังเมาริซิโออยู่ตลอดเวลาคือปาทริเซีย

รีวิว House of Gucci

รีวิว House of Gucci
สนับสนุนเนื้อหาโดย
ครึ่งแรกปูโทนเหมือนหนังรักโรแมนติก เล่าความสัมพันธ์ของเมาริซิโอและปาทริเซียที่ค่อย ๆ ก่อร่างสร้างตัว ฝ่าฟันอุปสรรคจนกลายเป็นครอบครัวที่มั่งคั่ง โยงเข้าสู่ครึ่งหลังของหนังที่มีเงาของเมฆดำค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้ามาปกคลุม เมาริซิโอถูกปาทริเซียปั่นหัวและบงการมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นที่สามารถทรยศหักหลังครอบครัวตัวเอง เพราะความโลภจากอำนาจและเงินตรา กระทั่งความรักแปรเปลี่ยนเป็นความไม่ไว้ใจ นำไปสู่การหย่าร้าง ความหึงหวง ความโกรธแค้น และเป็นชนวนให้เกิดโศกนาฏกรรมในท้ายที่สุด
แม้หน้าหนังและชื่อหนังจะเกี่ยวกับแฟชั่น แต่ ‘House of Gucci’ ไม่ใช่หนังแฟชั่นจ๋าเหมือน ‘Coco Before Chanel’ หรือซีรีส์ ‘Halston’ แต่นี่คือหนังดราม่าที่ดัดแปลงจากชีวิตจริงของคนทำแฟชั่นเท่านั้น ดังนั้นใครที่ไม่ใช่สายแฟก็ดูรู้เรื่อง จะมีแค่รายละเอียดบางอย่างเช่นการพูดถึง ทอม ฟอร์ด ที่ก้าวมาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ให้กุชชี หรือการมีบทเล็ก ๆ ของแอนนา วินทัวร์ และคาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ ก็เป็นตัวชูรสชั้นดีหากคุณรู้เรื่องแฟชั่น
จุดแข็งและความน่าดึงดูดใจของหนังนับตั้งแต่ประกาศสร้างคือทีมนักแสดงฝีมือระดับออสการ์ แต่พอมารวมตัวกันแล้ว กลับกลายเป็นทั้งส่วนที่ยอดเยี่ยมและส่วนที่แปลกแยกในเวลาเดียวกัน ถ้าพูดแบบติดตลกก็คือนักแสดงแต่ละคน “เล่นเหมือนไม่ได้อ่านไลน์กลุ่ม” แน่นอนว่าคนที่โดดเด่นที่สุดหนีไม่พ้น เลดี้ กาก้า ที่เฉิดฉายทุกครั้งที่ปรากฏตัวด้วยการเล่นใหญ่ประหนึ่งละครช่องเจ็ด (ถ้าใครได้ชมแล้วจะรู้ว่าผมพูดไม่เกินจริง ถลึงตา เดินชนไหล่ มาหมด) เช่นเดียวกับปาชิโนและจาเรด เลโท (Jared Leto) ที่เล่นใหญ่ไม่แพ้กัน โดยเฉพาะเลโทที่นอกจากจะแปลงโฉมเป็นเปาโล กุชชี จนจำไม่ได้แล้ว ยังเป็นตัวละครที่ทำให้คนดูรู้สึกเย้ยหยันและเห็นใจได้ในเวลาเดียวกัน ขณะที่ไดรเวอร์, ไอเอินส์ และแจ็ก ฮัสตัน เล่นน้อย ๆ แบบหนังดราม่าหวังกล่อง อีกคนที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือ ซัลมา ฮาเย็ก ที่ช่วยสร้างสีสันได้ดีในบทพีนาหมอดูจอมปลอมที่มีส่วนร่วมในคดีฆาตกรรม
ด้วยความที่ ‘House of Gucci’ เป็นหนังฮอลลีวูดและแสดงโดยดาราอเมริกัน แต่เล่าเรื่องราวของตัวละครชาวอิตาเลียนทั้งเรื่อง เลยใช้วิธีพูดภาษาอังกฤษสำเนียงอิตาเลียน ซึ่งบางคนก็เป๋ไปจนแทบจะเป็นสำเนียงรัสเซีย ส่วนนี้อาจสร้างความรำคาญหูให้กับคุณได้ตลอดทั้งเรื่อง อีกจุดหนึ่งที่หนังยังทำได้ไม่ดีนักคือทิศทางกำกับของริดลีย์ สก็อตต์ ที่ดู
เหมือนไปไม่สุดสักทาง ทั้งดราม่า อาชญากรรม แฟชั่น แถมยังแทรกตลกร้ายอยู่กลาย ๆ (ปัญหาเดียวกับการแสดง) เมื่อถึงจุดไคลแม็กซ์ในช่วงท้ายเลยขึ้นไปไม่สุด เพราะมีแรงส่งไม่มากพอ
โชคดีที่หนังถูกพยุงไว้ด้วยพลังของนักแสดงที่ถึงแม้จะดูคนละทิศคนละทางอย่างที่กล่าวไป แต่ก็ถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญและสร้างความบันเทิงได้ตลอดเวลาสองชั่วโมงครึ่ง (หากตัดทอนรายละเอียดที่ไม่สำคัญออกไปให้หนังสั้นกว่านี้ก็จะดีมาก) บวกกับการออกแบบเครื่องแต่งกายที่สร้างความเพลิดเพลินตา และเพลงประกอบที่ขุดเพลงฮิตในยุค 80s
มาให้ได้ยินกันเป็นระยะตั้งแต่ต้นจนจบ โดยเฉพาะการเลือกเพลง “Baby Can I Hold You” มาสเตอร์พีซของเทรซี แชปแมน (Tracy Chapman) มาเป็นเพลงปิดท้าย โดยเลือกเวอร์ชันที่แชปแมนร้องสดร่วมกับลูชาโน ปาวารอตติ (Luciano Pavarotti) ศิลปินโอเปราเสียงเทเนอร์ชาวอิตาเลียน ซึ่งทุกถ้อยคำในเนื้อเพลงถ่ายทอดถึงความรู้สึกกับความรักที่หวานขมในตอนจบได้เป็นอย่างดี
In เรื่องเก่าเล่าใหม่on 14/04/2022
คุณแม่ลูก 5 สุดช็อก!! แฟนเก่าที่เลิกรากันไปแล้ว 12 ปี พบอีกทีมาแอบอยู่ในห้องใต้หลังคา
ไม่เพียงแต่ความรู้สึกขมขื่นของปาทริเซีย “แม่ม่ายดำ” แต่เพลงนี้ยังเป็นบทสรุปว่าเบื้องหลังโลกแฟชั่นอันงดงามหรูหรา กลับไม่มีใครในตระกูลกุชชีที่มีความสุขในบั้นปลายชีวิตแม้แต่คนเดียว

รายชื่อนักแสดง

นอกจากได้ผู้กำกับฝีมือดีมากำกับแล้ว เรื่องนี้ยังขนทัพนักแสดงระดับแนวหน้าของฮอลลีวูดมารวมไว้ในหนังเรื่องเดียว ได้แก่ Lady Gaga รับบท แพทริเซีย เรจจานี , Adam Driver รับบท เมาริซิโอ กุชชี่ , Al Pacino รับบท อัลโด กุชชี่ , Jeremy Irons รับบท รูดอลโฟ กุชชี่ , Jared Leto รับบท เปาโล กุชชี่
การดำเนินเรื่อง
การดำเนินเรื่องของเรื่องนี้ ทำได้ค่อนข้างดี แม้จะช้าไปหน่อย ยิ่งช่วงกลางๆของหนังนี่เล่าแบบเอื่อยมากๆ และไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ ผมเกือบหลับไปแล้ว แต่ก็แค่ช่วงสั้นๆ นอกนั้นก็ดำเนินเรื่องได้น่าติดตาม ซึ่งในมุมมองผม เนื้อเรื่องมันไม่ได้สดใหม่หรือดึงดูดผู้ชมมากนัก ค่อนไปทางน่าเบื่อ แต่ผู้กำกับมีความสามารถพอ ที่จะเล่าให้มันดูน่าสนใจขึ้นได้
และผมก็ชอบในส่วนนี้พอสมควรเลย เพราะเขาฉลาดที่เลือกการเล่าเรื่องที่มีข้อมูลเยอะๆ แต่ตัดแบ่งเป็นสั้นๆเพื่อให้คนดูไม่รู้สึกเบื่อ คือตั้งแต่ต้นจนจบ มันคือการเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วง 1970 – 1995 เกือบ 30 ปี หนังก็เล่าเพียงเหตุการณ์สำคัญๆที่เกิดขึ้นในแต่ละปี และก็สคริปต์เวลาไปเรื่อยๆ ทำให้เห็นพัฒนาการของตัวละคร และความสัมพันธ์ของตัวละครมากขึ้น และทำให้คนดูรู้สึกอินและเข้าใจความรู้สึกของตัวละครแต่ละตัวได้ในเวลาไม่นาน ถือว่าดีมากๆ
เนื้อเรื่อง และบทภาพยนตร์
เนื้อเรื่องมันก็มีเค้าโครงมาจากเรื่องจริงอยู่แล้ว ทุกอย่างมันเลยดูธรรมชาติมากๆ สมเหตุสมผล มันเหมือนการเล่าเรื่องในอดีตที่มาให้เราเห็นเป็นภาพยนตร์มากกว่า เนื้อเรื่องคือไม่รู้จะติอะไร เพราะทำได้ดีมากๆอยู่แล้ว แม้จะไม่ได้หวือหวาอะไรมาก ก็เพราะมันคือเรื่องจริง ชีวิตจริงมันก็แบบนี้แหละ ดำเนินไปเรื่อยๆ แต่ถือว่าครอบครัวนี้ก็ชีวิตเกินจริงไปกว่า
คนทั่วไปเยอะอยู่ เพราะด้วยความที่มันมีเรื่องเงินจำนวนมาก ทำให้ความวุ่นวายตามมา จนกลายเป็นหนังได้เลย ต่อมาในเรื่องของบท ถือว่าทำออกมาได้ดีนะ แม้จะไม่ได้ถึงขั้นดีมากๆ แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ดีเลย ผมชอบคำพูดที่อยู่ในซีน ที่ตัวละคร รูดอลโฟ กุชชี่ ที่รับบทโดย เจเรมี พูดกับเปาโล รับบทโดย จาเลท ตอนที่เปาโลเอางานที่ออกแบบมาอวดแล้ว
บอกว่าตัวเขานั้นมีพรสวรรค์ ขอโอกาสจากน้าให้เขาได้ลองผลิตและขายมันในนาม GUCCI แต่น้ากลับบอกว่าให้เอาไปซ่อนอย่าให้ใครเห็น และพดประโยคนี้ที่ผมชอบ โดยรูดอลโฟ พูดว่า “คนไม่มีพรสวรรค์มักพูดอวดคนอื่นไปเรื่อยว่าตัวเองมี แต่คนที่มีพรสวรรค์จริงๆ กลับไม่เคยรู้ว่าตัวเองมี ต้องมีคนมาเห็นและบอกเขา” ซึ่งก็เป็นจุดเริ่มต้นของความบาดหมางในครอบครัว โดยรวมแล้วบทก็ดี เนื้อเรื่องก็ดี ทุกอย่างในเรื่องนี้อยู่ในเกณฑ์ดีถึงดีมากหมด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *