รีวิว DUNE
รีวิวหนัง DUNE สงครามจักรวาล ไซไฟเก่า ที่มา Remake ใหม่ จนยกให้เป็นหนังไซไฟขึ้นหิ้งเลยก็ว่าได้ เป็นหนัง Remake จากปี ภาพยนตร์ เรื่อง DUNE ในปี 1984 ที่ดัดแปลง มาจากนิยาย อีกที มีทั้งหมด 3 เล่ม ด้วยกันเลยทีเดียว
ในภาคหลัก ถึงเนื้อหาที่ มนุษย์ต้องแย่งชิงทรัพยากร “สไปซ์” เมล็ดทรายผลึก ที่มีจำกัด สรรพคุณอันล้ำค่าใน Galaxy โดยมีเนื้อหาที่สอดแทรก ปรัชญา ศาสนา และเกมส์การเมือง แก่นแย่งชิงอำนาจอันน่าสนใจ โดยผู้กำกับ Denis Villeneuve จาก Arrival, Blade Runner 2049. Sicario! บอกเลยผู้กำกับคนนี้เอาอยู่ทั้งเรื่อง!
รีวิว DUNE
เนื้อเรื่อง (ความยาว 2ชั่วโมง 35 นาที)
ส่วนตัวผมไม่เคยดูฉบับ 1984 มาก่อน แต่เนื้อเรื่องในภาคนี้ ค่อนข้างเข้มและจะเน้นบทสนทนา เพื่อปูปฐมบทของมหากาพย์สงครามจักรวาลอันยิ่งใหญ่นี้
หนังแบ่งเป็น หลายพาท พาทแรกนั้น จะเน้นที่การสนทนาเป็นหลัก มีแทรกฉากแอคชั่น หรือฉากที่ให้ชวนลุ้นไปกับตัวละครเป็นระยะๆ หากคนที่ไม่ชื่นชอบ บทสนทนาที่ยาวนาน อาจจะไม่ชอบเรื่องนี้ โดยเฉพาะในช่วง 30นาทีแรก โดยรวมคิดว่าหนัง เกือบ 3ชั่วโมงแอบไม่พอ สำหรับสเกลใหญ่และตัวละครหลายคน ได้อามณ์คล้ายๆ Lord Of The Rings Fellowship Of Ring
การตัดต่อของเรื่องดำเนินการไปอย่างราบรื่น น่าติดต่อ แต่จะมีแค่บางฉากรู้สึกว่าถูกตัดเร็วไป (ประมาณ 2 ฉาก)
นักแสดงในเรื่องแต่ละคนที่ Casting มาถือว่าแสดงได้เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง รวมดาวและแต่ละคนระดับบิ๊กๆทั้งนั้น อาทิเช่น Timothée พระเอกจากเรื่อง Call Me By Your Name สาวๆน่าจะโดนตกจากพ่อหนุ่มหน้าเทพบุตรคนนี้ / Zendaya นางเอก จาก Spiderman / Rebecca Ferguson จาก Mission Impossible / Josh Brolin หรือท่านธานอส / Jason Momoa พ่อ Aquaman) / Oscar Isaac กัปตันโพ จากสตาร์วอร์
บทสรุปหลังดูจบ
ภาพ / เสียง / ประกอบ
งานภาพ หากใครผ่านงานของผู้กำกับท่านนี้มาก่อน Denis Villeneuve จะเห็นได้ว่า เป็นการผสมผสานระหว่าง Arrival + Blade Runner 2049 ที่โคตรลงตัว และมีความยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างกว่าสองเรื่องที่ผ่านมา
ระหว่างรับชม เหมือนเราจะได้ชมงานศิลป์ของภาพ สร้างสรรค์ แสงสี ของบรรยากาศบนดาวและทุ่งทะเลทราย อาร์ราคีส จนรู้สึกว่า เหมือนเราไปอยู่ในฉากนั้นจริงๆ การใส่มาส์กดูหนังในโรงช่วงนี้ ถือว่าช่วยเสริมให้ท่านป้องกันฝุ่นจากทะเลทรายนี้ได้เป็นอย่างมาก
CG ที่ใช้ในเรื่องถือว่า เนี๊ยบมาก ไม่มีที่ติ มุมมองใหม่ๆ แปลกๆ สเกลยักษ์ของยานอวกาศ สวยงาม ในส่วนของฉากต่อสู้นั้น ระเบิดเรียกได้ว่าจัดเต็มลูกใหญ่เบิ้มๆ สมกับความยิ่งใหญ่ของสงครามนี้จริงๆ
งานคอสตูม ของตัวละครทำออกมาได้ดีมาก เข้ากับบรรยากาศและสภาพแวดล้อมของเรื่องที่สุด (แอบเห็นชุดที่นึกถึงเผ่ามังกรฟ้าในเรื่อง Onepiece ด้วยน่ะ)
ซาวนด์เสียงประกอบ ต้องกราบท่าน Hans Zimmer ผู้ซึ่งคว้าหลายรางวัลออสการ์ในสาขา เสียงประกอบ (งานดังๆของพี่แก มาจากหนังเสด็จพ่อ โนแลน หมดเลย) ทำออกมาได้แปลกแหวกกว่าเดิม เสริมอารมณ์ ให้หนังในแต่ละฉาก จากที่อลังแล้ว ดูอลังการขึ้นไปอีก และฉากธรรมดา พอใส่เสียงที่ประพันธ์ลงไป ทำให้ฉากนั้นมีลูกเล่นขึ้นมาทันที
คะแนน เนื้อเรื่อง 8/10 | ความ Sci-Fi 10/10
เป็นเรื่องที่แนะนำให้ดูในโรง IMAX เพื่อได้อรรถรสที่สุดจัดปลัดบอกมากๆ ทั้งงานเสียงที่กระหึ่ม รายละเอียดยิบย่อยเล็กๆของซาวนด์ประกอบ รวมถึงงานภาพกว้างๆของทะเลทรายที่สวยงาม สมคำโปรย FILMED FOR IMAX ได้ประสบการณ์ของโรงไปเต็มๆ คุ้มค่ามากๆ
หากใครที่ไม่ชอบบทสนทนายาวๆ มีเนื้อหาที่เป็นรูปธรรม ในบางส่วน อาจจะไม่ชอบเรื่องนี้ ส่วนถ้าติดตามดีๆ จะรู้สึกว่า บทและ sequence น่าติดตามมากๆครับ
ช่วงกลางเรื่อง เป็นช่วงที่เข้มข้นที่สุด ไม่อยากให้พลาด ส่วนช่วงท้ายถือว่าทำได้ดีพร้อมรับไม้ต่อ (ตอนท้ายมีแอบคิดว่า จะจบแล้วใช่ไหม หรือว่าพึ่งครึ่งเรื่องเอง มันไม่สุด แง!)
บทของเจสัน โมโมอานี่สลัดคาบจาก Aqua man ไม่ได้จริงๆ พี่แก เท่มากๆ
เป็นอีกเรื่องที่ห้ามพลาดในปีนี้เลยครับ พร้อมที่จะเป็นมหากาพย์ตามเรื่องอื่นๆ เช่น The Lord of the Ring และ Star wars ได้เลย!
นักแสดงเองนั้นระดับเกรด A ทั้งหมดที่เข้ามาร่วมแสดงทั้ง ทิโมธี ชาลาเมต์ , เซนเดยา, เจสัน โมโมอา, เดฟ บอทิสตา, สเตลแลน สการ์สการ์ด และ อีกมากมายทำให้เรื่องการแสดงเราเองไม่ต้องสงสัยในฝีมือการแสดง จนหลายๆคนอยากให้จัดเต็มมากกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่ทั้งเนื้อหา ตัวละครต่างๆนั้นเยอะมาก แต่ก็เข้าใจได้ง่ายไม่งงครับจุดนี้แบ่งได้ดี แต่หลายๆคนอาจจะไปเน้นจัดเต็มกัน ภาค 2 เป็นหลักก็ต้องติดตาม ทำให้การแบ่งช่วงที่ออกมา นำเสนอให้คนทั่วไปเข้าใจได้ง่ายไม่ แน่นเกิน
งานภาพ และ เสียง ส่วนตัวเป็นสาวกเรื่อง งานภาพ และเสียงอยู่แล้วต้องบอกตรงๆว่า คือที่สุดในปีนี้แล้วเท่าที่ดูหนังมา และไว้ใจได้ทั้ง งานเสียงจาก ฮานส์ ซิมเมอร์ และ งานภาพจาก Greig Fraser ทั้งคู่เมื่อรวมกันเรียกได้ว่าระดับเทพมาร่วมงานกันคือที่สุดแล้ว โทนของหนัง ซาวด์ไปด้วยกันแบบไม่มีจุดให้บ่น จนแอบหวังให้ถึง OSCARS เลยนะ งานภาพทำโทนสีได้ดีมาก รวมถึงมุมมอง ดีเทล ความอลังการของฉากที่เน้นใช้งาน CG ให้น้อยที่สุด รวมถึงงานเสียงที่เราคุ้นเคยกันดีในแนวทางแบบนี้จากหนัง BATMAN ตอน NOLAN / INCEPTION / และอีกมากมาย เสียงที่ฟังแล้วขนลุกทุกครั้ง มันมีพลัง ส่งผลต่อหนังและเรื่องนี้ อยากให้ดูใน IMAX เท่านั้นจริงๆครับ