รีวิว เดอะ ฮอบบิท 2
รีวิว เดอะ ฮอบบิท 2 เดินทางมาสู่ภาคจบเสียทีสำหรับตำนานมิดเดิลเอิร์ธของภาพยนตร์มหากาพย์ไตรภาคอย่าง The Hobbit ที่สร้างจากหนังสือนิยายชื่อดัง เรื่องราวก่อนหน้าของ The Lord of the Rings หนังแอ็คชั่นแฟนตาซีเจ้าของรางวัลออสการ์ ฝีมือการกำกับของผู้กำกับคนเดียวกันคือ ปีเตอร์ แจ็คสัน
ใน The Hobbit The Battle of The Five Armies ได้นักแสดงชุดเดิมกลับมาพร้อมหน้าทั้ง มาร์ติน ฟรีแมน,ริชาร์ด อาร์มิเทจ,เอียน แม็คเคลเลน,ลุค อีแวนส์ และ ออร์ลันโด บลูม ความน่าสนใจคือมันเป็นตอนสุดท้ายของ The Hobbit ที่เชื่อมโยงเนื้อหาไปสู่ The Lord of the Rings รวมถึงเป็นการปิดตำนานมหากาพย์ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่อง
หนังเดินทางมาสู่จุดแตกหักเมื่อเหล่าคนแคระเดินทางไปถึงหุบเขาเดียวดายแล้วบังเอิญไปปลุก มังกรสมอว์ก ที่ยึดครองสมบัติในอาณาจักรเอเรบอร์ให้ตื่นขึ้นมาจากการจำศีล สมอว์ก บุกไปอาละวาดเผาเมืองริมทะเลสาบ แม้ว่ามันจะถูก บาร์ด ยิงธนูสังหาร แต่ว่านั่นก็เป็นชนวนเหตุให้กองทัพทั้ง5เผ่ายกกำลังมาแย่งชิงสมบัติมหาศาล ได้แก่ 1. มนุษย์ 2. คนแคระ 3. เอลฟ์ 4. ออร์ค 5. วอร์ก เว็บหนัง
ขณะที่ ธอริน โอเคนชิลด์ ราชาแห่งคนแคระที่อยู่ด้านในวังเอเรบอร์ป่วยเป็นไข้พิษมังกร เขากลายเป็นคนคลั่งสมบัติ เห็นแก่ตัว และเลือดเย็น บิลโบ ฮอบบิทหนึ่งเดียวในดินแดนแห่งอำนาจได้แอบเก็บ อาร์เคนสโตน ไว้ไม่ยอมให้ ธอริน เพราะกลัวว่าเขาจะอาการหนักกว่าเดิม พร้อมทั้งพยายามยุติสงครามระหว่างเอลฟ์กับคนแคระ ส่วนอีกฟาก แกนดัล์ฟ กาลาเดรียล ซารูมาน และ เอลรอนด์ ก็กำลังต่อสู้กำอำนาจมืดของ เซารอน
บทของหนังลดความเข้มข้นลงจากภาคที่แล้ว โดยเฉพาะความพีคในช่วงท้ายที่เทียบกันไม่ได้เลย ปีเตอร์ แจ็คสัน เทนํ้าหนักให้กับความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์ ด้านมืดของสงความ และ อาการป่วยของ ธอริน มากไปหน่อย ทำให้แทบไม่มีเวลาในการสรุปความช่วงท้าย เนื้อเรื่องตอนจบเลยดูรวบรัดแปลกๆ กับการคลี่คลายสถานการณ์ตรึงเครียด ยุติสงครามอย่างรวดเร็ว ซึ่งถ้าเป็นเกมก็ต้องบอกว่าดูโกงนิดๆ
จุดเด่นของภาคนี้คือฉากต่อสู้สวยงามอลังการ ดูดีแทบทุกทัพไล่ตั้งแต่ เอลฟ์ แสนสง่า คนแคระ เข้มแข็ง ส่วน ออร์ค กับ วอร์ก ก็ดุดัน น่ากลัว จะมีก็แต่มนุษย์ที่นอกจากจะคนน้อยนิดแล้ว ยังแทบไม่มีทีเด็ดอะไรไปสู้เขาได้เลย เทคนิคภาพในหนังเนียนตาไม่แพ้ The Lord of the Rings ซีนประทับใจผู้ชมคงเป็นการร่วมแรงร่วมใจกันสู่ของพันธมิตร เอลฟ์ คนแคระ ที่บาดหมางกันมานาน แต่ร่วมมือเพราะมีศัตรูเหมือนกัน แน่นอนว่าบางคนอาจจับเอาไปตีความกับสงครามโลกครั้งที่1-2หรือสงครามการเมืองระหว่างประเทศในโลกปัจจุบันที่ยังคงมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอยู่เสมอมา เว็บดูหนัง
มาร์ติน ฟรีแมน โดดเด่นกว่าใคร ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านมุมมองของ บิลโบ ฮอบบิทตัวน้อยจิตใจดีได้ยอดเยี่ยม แต่ที่ขโมยซีนต้องยกให้ อีแวนเจไลน์ ลิลลี ในบท ธอเรียล กับดราม่ารักข้ามสายพันธุ์ระหว่างเอลฟ์สาวกับคนแคระมาดเข้ม คีลี (ไอแดน เทอร์เนอร์) ที่หวานและซาบซึ้งจนทำเอารักข้ามชนชั้นของเธอกับเจ้าชายเอลฟ์สุดเท่อย่าง เลโกลัส (ออร์ลันโด บลูม) ดูแห้งแล้งไปเลย
รีวิว เดอะ ฮอบบิท 2 โดยรวม
โดยรวมสงคราม5ทัพไม่ใช่ภาคที่ดีที่สุดของ The Hobbit เพราะใช้เวลาหลายชั่วโมงไปไม่คุ้มค่าเท่าภาคก่อนหรือเท่า The Lord of the Rings ภาคจบ กระนั้นก็ไม่ถึงกับน่าผิดหวัง เพราะช่วงท้ายมีการปูทางไปสู่หนังมหากาพย์แห่งแหวนได้สมบูรณ์พอสมควร แน่นนอนว่ามันจะเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานกันต่อไป
ติดตามผลงานของ Peter Jackson มาโดยตลอดหลังจากไตรภาค ‘The Lord of The Rings’ เลยนะเนี่ย ทึ่งและตะลึงในมุมกล้อง เทคนิค และเรื่องราวอันอลังการงานสร้างอย่างมาก แถมยังมีทิ้งท้ายให้ติดตามภาคต่อไปอย่างเอาอยู่ เมื่อคุณปีเตอร์เขาอยากจะสร้างหนังจากนิยายของ J.R.R. Tolkien อีกครั้ง ด้วยการขยายเนื้อหาจากหนังสือเล่มเดียวให้กลายเป็น (ตอนแรกก็แค่ทวิภาค แต่ต่อมาก็กลับกลายเป็น) หนังไตรภาคอีกครั้ง ซึ่งมันคือ ไตรภาคก่อนหน้าของพันธมิตรแห่งแหวนที่เราเคยประทับใจไปนั่นเอง
สรุปโดยรวม
เรื่องราวที่ต่อเนื่องจากภาคก่อนหน้าอย่างแทบจะทันที เริ่มเรื่องได้หวือหวาพอสมควร ก่อนจะเข้าช่วงเวลาการเดินอย่างเรียบนิ่งแต่งดงามอีกครั้ง
แม้ว่าในภาคนี้จะมีจุดเด่นที่สงครามยักษ์ระหว่างมนุษย์หลายเผ่าพันธุ์ที่มีความต้องการอย่างเดียวกัน แต่หนังก็ยังคงมีจุดศูนย์กลางที่ตัว บิลโบ แบ็กกินส์ อย่างไม่หลุดประเด็น เมื่อเหล่าคนแคระได้พบเจอสมบัติที่ต้นดั้นด้นค้นหากันมา และภยันตรายอย่างเจ้ามังกรสม็อคถูกดับสิ้นลง ภัยอีกด้านหนึ่งกลับเป็นเรื่องภายในจิตใจของพวกเขาเอง ไม่ว่าจะเป็นชนกลุ่มใด ต่างก็มีความโลภเป็นของตัวเอง เว็บดูหนังฟรี
เช่นเดียวกับที่เราเคยได้พบว่า มังกรสม็อก็มีความโลภเฉกเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นเหล่าคนแคระที่คิดจะปกป้องเมืองของตนไว้จากกลุ่มชนเผ่าอื่นที่หวังในสมบัติและสุดยอดเพชรเม็ดงามซึ่งซ่อนเร้นอยู่ภายใน แถมยังเรียกทัพคนแคระอีกกลุ่มเข้ามาหมายให้ช่วยเหลือ หรือจะเป็นเหล่าเอลฟ์ที่หวังจะได้สร้อยอัญมณีสีขาวที่ถูกเหล่าคนแคระยึดครองเอาไว้ มนุษย์ชาวเมืองลอยน้ำที่หวังเพียงเรียกค่าเสียหายจากความสูญเสีย รวมไปถึงเหล่าออร์คที่ถูกเพาะพันธุ์และปลุกระดมโดยจอมมาร
โดยที่บิลโบ กลายเป็นบุคคลที่ไม่เข้าพวกใดๆ กับคนเหล่านี้ เป็นแต่เพียงผู้ร่วมเดินทาง แต่เมื่อไปถึงก็ไม่ได้มีความเดียวกับกลุ่มคนแคระ และตัวเขาเองก็ยังเก็บซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้ ขณะที่พ่อมดเทาอย่างแกนดาล์ฟ ก็ยังไปๆ มาๆ แต่ก็มีบทบาทสำคัญต่อขบวนเดินทางขบวนนี้อยู่ดี
โปสเตอร์แบบนอนจากหนัง ‘เดอะ ฮอบบิท สงคราม 5 ทัพ’
ต้องยอมรับว่า งานของ Peter Jackson นั้นโดดเด่นในด้านมุมกล้องและเทคนิคพิเศษจริงๆ แต่ภาคนี้กลับเพิ่มจุดเด่นที่การตัดต่อของภาพสงครามได้อย่างน่าตื่นตา หากสิ่งหนึ่งที่ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย คือ การดำเนินเรื่องที่เรื่อยๆ ไม่เร่งเร้า ไม่มีผ่อนเร็วช้า และบทที่ไม่ซับซ้อนมากมาย อีกทั้งไม่บิ๊วให้รู้สึกอะไรมากมาย คนที่พักผ่อนมาไม่เพียงพอ (หรือแม้แต่เพียงพอก็ตาม) ก็อาจจะมีหาว มีสัปหงกได้ในบางที แต่หากคุณอดทนรออีกสักหน่อย ก็อาจจะได้พบว่า ฉากสงครามในพาร์ทหลังของหนังก็ดูสนุกอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะลีลาการรบแบบเทพๆ อย่างเลโกลัส
การดำเนินเรื่องในภาคนี้ ถือว่า ทำได้รวดเร็วไม่เยิ่นเย้อเหมือนภาคก่อน เสริมแง่มุมความรักเข้ามาเพิ่มเติม ทำให้หนังดูมีมิติขึ้น แต่ก็พบว่า ความแปลกใหม่และความตื่นตาตื่นใจของ The Hobbit ทั้งสามภาคยังไม่อาจเทียบความติดตาตรึงใจได้เท่าที่เคยทำได้กับ ‘The Lord of The Rings’ กระนั้นก็ยังพอจะถือได้ว่า
เป็นภาคจบที่ทำได้ค่อนข้างดี!
ชื่อภาพยนตร์: The Hobbit: The Battle of The Five Armies / เดอะ ฮอบบิท สงคราม 5 ทัพ
ผู้กำกับภาพยนตร์: Peter Jackson
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Fran Walsh (screenplay), Philippa Boyens (screenplay), Peter Jackson (screenplay), Guillermo del Toro (screenplay), J.R.R. Tolkien (novel “The Hobbit”)
นักแสดงนำ: Ian McKellen, Martin Freeman, Richard Armitage, Benedict Cumberbatch, Luke Evans, Orlando Bloom, Cate Blanchett
แนว/ประเภท: Adventure, Fantasy
ความยาว: 144 นาที
เรท: ไทย/ , USA/PG-13
สัดส่วนภาพ: 2.35 : 1
วันเข้าฉายในประเทศไทย: 18 ธันวาคม 2557
ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย/สตูดิโอ: New Line Cinema, Metro-Goldwyn-Mayer (MGM), WingNut Films,
ดูหนังใหม่ได้ที่ เว็บหนังฟรี