รีวิว อภิมหาสงครามล้างโลก
รีวิวหนัง เรย์ เฟอร์เรียร์ (Tom Cruise) คนงานท่าเรือที่มีภาระหน้าที่ต้องเลี้ยงดูแลลูกในฐานะคุณพ่อไม่สมบูรณ์แบบในช่วงสัปดาห์เพราะภรรยา (Miranda Otto) กับแฟนใหม่ต้องไปทำธุระ ทั้งนี่ลูกสองคนอย่างร็อบบี้ (Justin Chatwin) ลูกชายวัยรุ่นและเรเชลลูกสาวคนเล็ก (Dakota Fanning) ต้องมาอาศัยอยู่ด้วยความกึ่งเต็มใจ ซึ่งในวันนั้นเองที่เกิดเหตุการณ์ประหลาดพายุฝนที่รุนแรงและปรากฎการณ์แปลกๆอย่างฟ้าผ่าลงที่ซ้ำ
หลังจากนั้นเรื่องราวของชีวิตทุกชีวิตต้องเปลี่ยนไปมหาศาลเมื่อบางอย่างที่ดูเป็นเครื่องจักรขนาดใหญ่โผล่ออกมาจากใต้ดินที่สงบเงียบแบบน่าสงน แต่นั้นก็เหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อมันขยับและทำลายชีวิตทุกชีวิตไม่ให้เหลือซาก เรย์จะหนีจากหายนะพร้อมพาลูกๆหนีได้ยังไงเมื่อแท้จริงแล้วมันมีมากกว่าหนึ่งตัวและกำลังจัดการไม่หยุดหย่อนชนิดยังไม่มีใครเทียบเคียงได้
ถ้าจะบอกว่าเป็นหนังหายนะที่่พาไปสัมผัสภึงการเอาตัวรอดก็ถือว่าชัดเจนในแบบสิ้นหวัง เพราะการทำทุกวิถีทางของเรื่องต่างพากันเอาตัวรอดและดูถ้าจะไปได้ดีแต่กลับไม่ได้ช่วยอะไรเลยแต่ยิ่งดูยิ่งทรมานกับการดิ้นรนหนีที่ไม่มีวันจบ สิ่งที่สำคัญคือการใช้สติให้มากและต้องเร็วกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันให้ตื่นตัวเสมอ จะเห็นได้ว่าเรย์มีการใช้สติตลอดไม่พยายามจะใช้อารมณ์ให้มากเพราะเห็นแก่หน้าลูกๆ แต่บางครั้งบางสถานการณ์ต้องบังคับให้ต้องทำอย่างตอนเรย์ที่เอาผ้าปิดตาเรเชลเพราะมีเรื่องบาดหมางกับออลเลน (Tim Robbins) ที่คุมสติไม่อยู่เพราะการเห็นเอเลี่ยนจับมนุษย์ไปสูบเลือดแล้วรำพึงรำพันโวยวายว่า”ต้องไม่ใช้เลือดข้า” ซึ่งเรย์ก็พยายามห้ามให้เสียงเบาๆแล้ว
ในยามลำบากทุกคนต่างต้องการที่ยึดมั่นและความหวังในการพ้นทุกข์ให้หนีรอดออกไปจนดูเหมือนในทุกโอกาสจะเป็นการบอกจุดอ่อนของมนุษย์อย่างไม่จำเป็นจนดูเป็นปัญหาที่เกิดมากกว่าจะแก้ปัญหาให้จบๆไปอย่างสันติ ในเรื่องมีการแย่งรถที่ไม่สนใจใครขอแค่ได้มาเพราะมีจำกัดและขณะนั้นมีคันเดียว ก็ต่างเป็นที่ต้องการต้องตาในหลายคนเนื่องจากเป็นพาหนะเคลื่อนที่ที่ดีที่สุดในการหนีเพราะมันมีประโยชน์อย่างมากเพราะว่าในเรื่องเครื่องใช้
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จะใช้ไม่ได้เลยในช่วงแรกซึ่งรวมกับรถด้วย ทำให้ต่างคนต่างเดินหนีกันอย่างเดียวเพราะพาหนะใช้การไม่ได้แต่เรย์มีความคิดที่ลองในการแก้ไขและประสบผลสำเร็จจนรถวิ่งได้ เรย์จัดเป็นตัวละครที่แสดงถึงความไม่สมบูรณ์แบบในชีวิตที่ดูแล้วอาจเก่งและฐานะการอยู่ก็ใช้ได้ไม่มีปัญหา แต่ถ้าลองมองดีจะเห็นว่าในส่วนบางส่วนเรย์เป็นคนเห็นแก่ตัวที่ตั้งตนเป็นศูนย์กลาง แต่เรย์ยังคงแสดงถึงการห่วงใยและรักลูกๆไม่ให้ทิ้งห่างไปไหน
เอฟเฟคทำได้ออกมาดีมากแล้วดูเป็นความหายนะแบบเปิดกว้างเห็นได้ชัดถึงการทำลายล้างที่รุนแรง ทั้งฉากพื้นดินที่ค่อยๆแตกออกจนใส่ไปถึงตึกพังถล่มย่อยยับจนดูน่าระทึกตื่นเต้นผสานกับความน่ากลัวของการไล่ล่าที่วิ่งกันอย่างเอาเป็นเอาตาย มุมกล้องใช้ได้ดีจับภาพเป็นขั้นๆได้ดูอลังการถึงฉากต่างๆที่แผ่ซ่านถึงอันตราย จะว่าการออกแบบเจ้าเอเลี่ยนถือว่ายังดูไม่แปลกตานักเพราะโผล่มาไม่มากจะเน้นที่ตัวเครื่องจักรสามขาไล่ล่าคนที่ดูๆ
แล้วไม่ค่อยน่ากลัวจนเริ่มแผลงฤทธิ์นี่แหละถึงเรียกว่าน่ากลัวเอามากๆ เพราะความได้เปรียบที่มากมายกว่าชาวโลกจึงเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสที่ยังไม่สามารถจัดการพวกเครื่องจักรได้ และตัวหนังก็เพิ่มความโหดเข้าไปถึงจะดูไม่มีอะไรที่ระคายตาแต่ยังทำให้ผู้ชมกลัวอยู่ดีเนื่องจากการกระทำของพวกเอเลี่ยนจัดว่าเด็ดขาดเอามากและน่ากลัว ไม่ยอมให้อยู่กันสบายๆได้เลยจำต้องระแวงตลอดว่าจะมาแบบไหนและเมื่อไร บอกได้เลยว่าอยู่เฉยๆก็ไม่มีสุขแล้ว
ถ้าว่ากันตามเนื้อเรื่องจุดที่บกพร่องที่จุดคงเป็นช่วงบทสรุปที่โดนตัดไปมากเหมือนจะรีบจบ ถ้าว่ากันตามจริงอาจเป็นหนังยาวที่กินเวลาเกิน 2 ชั่วโมงครึ่งก็ยังได้ เนื้อเรื่องเต็มไปด้วยความหวาดกลัวของตัวละครที่ต่างทุรนทุรายเอาตัวรอด และหลายฉากมักจะดูแฮปปี้แต่ก็สิ้นหวังในทันทีเพราะการปรากฎตัวของเครื่องจักรสามขาที่พ้นแสงไปมากลายเป็นธุลีคงไว้แต่เสื้อผ้าที่ปลิววอนในอากาศ จัดว่าดูน่ากลัวและชวนผวาเพราะเล่นกับจิตใจที่ดูทำร้ายซะเหลือเกินเหมือนฉากเรเชลดูสายน้ำที่สวยงามระยิบระยับที่ผ่านตาแต่ก็พัดพาสิ่งไม่น่าดูตามมาด้วยพร้อมกับดนตรีประกอบที่ผสานบวกเข้าไปจนลืมความสุขหรือปาฏิหาริย์ความหวังที่เกิดขึ้น
รีวิว อภิมหาสงครามล้างโลก
จะว่าเนื้อเรื่องช่วงแรกตีเข้าปมปัญหาครอบครัวที่ดูไม่ลงรอยกันเลยทั้งเรย์กับร็อบบี้ที่ต่างเหมือนเล่นสงครามเย็นไม่มีการว่าร้ายหรือลงมือทำกันรุนแรงแต่แสดงออกทางท่าทางที่ดูจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ส่วนเรเชลยังคงเป็นเด็กที่ไร้เดียงสาที่เจอปัญหาหรืออะไรที่น่ากลัวก็กรี๊ดแตกตลอดเป็นการช่วยเพิ่มความสับสนและกดดันหนังที่อรรถรสไปตามหนัง Tom Cruise แสดงได้ก็พอโอเคแต่รู้สึกแปลกที่ดันมีลูกเป็นวัยรุ่นทั้งที่หน้าบอกยี่ห้อว่าไม่แก่ขนาดนั้น
ก็ว่าเวลาดูดุกับลูกๆก็เหมือนจะรู้สึกแปลกๆไม่ใช่ไม่ได้อารมณ์แต่เป็นดูเหมือนขาดความห่วงใยแบบซึ้งๆไป ตัวหนังที่เริ่มด้วยปมปัญหาครอบครัวโดยมีเอเลี่ยนบุกโลกเข้ามาพัวพันจัดว่าต้องการนำเสนอมุมมองที่แอบซึ้งเอาไว้ตอนท้าย จากคนที่รับผิดชอบน้อยดูไม่เอาถ่านหวังให้สำนึกถึงชีวิตที่ดิ้นรนมาจนตอนสุดท้าย แต่นั้นยังคงไม่มากพอให้จับใจเพราะตอนไคลแม็กซ์ที่รัดรวบเหลือเกิน ถ้าว่าตามธรรมชาติก็แฝงไว้ด้วยการเอาตัวรอดต่างๆที่ถึงแม้เห็นแก่ตัว ก็ยังคงสร้างความกล้าหาญไว้มากมายทั้งทหารที่สู้กันไม่รู้จักหยุดจนท้องฟ้าสีแดงกระหน่ำกันยิงสู้ไม่ถอยถึงจะเป็นรองมาเสมอ เรื่องกำลังใจตัวหนังก็สร้างออกมาเรื่อยๆถึงแม้จะดูสิ้นหวังและกดดันชวนหดหู่ว่าควรทำยังไงดีเพราะทางเลือกมีแค่ทางเดียวในขณะที่ต้องใช้ตัวเลือกที่มากกว่าหนึ่ง
เรย์ เฟอร์เรียร์ (ทอม ครูซ) คนงานท่าเรือที่ตกพุ่มม่ายและเป็นคุณพ่อที่ไม่สมบูรณ ์แบบ ไม่นานหลังจากอดีตภรรยาของเขา (มิแรนด้า อ็อตโต้) และสามีใหม่ของเธอพา ร็อบบี้ (จัสติน แช็ตวิน) ลูกชายวัยรุ่น และ เรเชล ลูกสาวตัวน้อยของเขา (ดาโกต้า แฟนนิ่ง) มาแวะเยี่ยม และอาศัยในช่วงสุดสัปดาห์ ก็เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตพวก เขาไปตลอดกาล เมื่อเครื่องจักรสงครามลักษณะเหมือนหอคอยสามขาโผล่มา จากใต้พื้นโลก และทำลายทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก นั่นคือการบุกโจมตีโลกครั้งแรกของพวกมนุษย์ต่างดาว เรย์ ต้องพยายามตะเกียกตะกายเพื่อช่วยลูกๆเของเขา ให้พ้นจากความหายนะจากศัตรูที่ไร้ความปราณีเหล่านี้ แต่ไม่ว่าจะหนีไปทางใด ก็ไร้ซึ่งความปลอดภัยและที่พักพิง มีเพียงความมุ่งมั่นที่ยากจะทำลายได้ของเรย์เท่านั้น ที่จะปกป้องคนที่เขารักได้!!
หนังเรื่องนี้เป็นหนัง Sci-Fi แนวเอเลี่ยนบุกโลก โดยเรื่องนี้เป็นหนึ่งในหนังหลายเรื่องที่ผมถูกใจมากคับ ในเรื่องนั้นพระเอกเป็นคนงานในท่าเรือและเป็นพ่อม่ายแต่ต้องมารับดูแลลูกสาวและลูกชาย ที่ภรรยาคนเก่านำมาฝากให้ดูแลในช่วงสุดสัปดาห์ แต่เกิดเหตุบางอย่างคือ มีพายุขนาดใหญ่เคลื่อนตัวเข้ามาในเมือง จากนั้นก็เกิดฟ้าผ่าลงมาในเมืองหลายครั้ง พระเอกจึงเข้าไปดูในเมืองว่าเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นเกิดก็มีหุ่นยนต์ยักษ์โพล่ขึ้นมาจากรูที่ฟ้าผ่าลงมาแล้วเริ่มสังหารผู้คน
พระเอกวิ่งหนีสุดชีวิตกลับไปยังบ้านแล้วพาลูกทั้งสองคนขึ้นรถ แล้วขับออกไปจนไปถึงบ้านหลังหนึ่งแล้วไปอาศัยนอนในห้องใต้ดินบ้านหลังนั้น พอตื่นขึ้นมาเขาก็พบว่ามีเครื่องบินตกลงมาในบ้านที่เขาอาศัยอยู่ จากนั้นพวกเขาก็เจอนักข่าวกลุ่มหนึ่ง แล้วนักข่าวกลุ่มนั้นก็ได้อธิบายเหตุการต่างๆที่เกิดขึ้นว่ามันเกิดขึ้นทั่วโลก จากนั้นพระเอกจึงได้ตัดสิ้นใจว่าจะพาลูกๆไปหาแม่ของเขา แต่ระหว่างทางที่พวกเขาพยายามจะข้ามแม่น้ำนั้น พวกเขาก็โดนเอเลี่ยนโจมตี แต่พวกเขาก็รอดมาได้ จากนั้นพวกเขาก็เดินไปในทุ่งนาแห่งหนึ่งแล้วพบกับกองกำลังทหารต่อสู้เพื่อที่จะยืดเวลาให้ประชาชนอพยพกันอยู่
พวกเขาจึงหนีไปอาศัยอยู่ในห้องใต้ดินของโรงนาแห่งหนึ่งที่มีชาวนาคนหนึ่งอาศัยอยู่แล้ว พอเวลาผ่านไปชาวนาคนนั้นได้ไปเห็นวิธีที่เอเลี่ยนสั่งหารคนเพื่อนำเลือดออกมาพ่นในอากาศ จนชาวนาคนนั้นเกิดอาการสติแตก คนพระเอกต้องฆ่าชาวนาคนนั้น จากนั้นเอเลี่ยนก็ได้มาพบที่ซ่อนของพวกเขา และจับลูกสาวไปทำให้พระเอกต้องขึ้นไปช่วย แล้วสามารถระเบิดหุ่นยนต์เอเลี่ยนได้ตัวหนึ่ง หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินทางไปถึงเมืองที่ภาายาพระเอกอยู่แล้วเขาก็ได้สังเกตุเห็นว่าเอเลี่ยนมีท่าทางที่แปลกไป จนสังเกตุได้ว่าพวกมันเริ่มตายแล้ว พอหลังจากนั้นพวกเขาก็ไปถึงบ้านของภรรยาเก่าของเขา
ที่ผมชอบเรื่องนี้เพราะไม่ได้มีเพราะเอฟเฟ็คที่สวยงามอย่างเดียว แต่ยังมีเนื่อเรื่องที่สนุกและน่าตื่นเต้นด้วย อีกทั้งตอนจบยังมีประโยคที่บอกว่า มันไม่ได้ตายเพราะอาวุธหรือสาตราวุธใดบนโลก แต่มันตายเพราะโดนหมากที่พระเจ้าได้วางไว้ตั้งแต่แรกนั้นคือ แบคทีเรียต่างๆ หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ เอเลี่ยนเป็นหวัดตาย
เรื่องย่อ
War of the Worlds อภิมหาสงครามล้างโลก HD Master พากย์ไทย วอร์ ออฟ เดอะ เวิลด์ส มาเรียเฟอร์รารีเรย์ (ทอมครูซ) เป็นม่ายพ่อของสตาฟฟ์ไม่สมบูรณ์ สามีของอดีตภรรยาใหม่ของเธอและของเขา (มิแรนดาอ็อตโต) เป็นแบบคงที่วันหยุดสุดสัปดาห์. (ทันทีหลังจากที่การลูกสาวแฟนสาวของราเชลดาโคตา) ล็อบบี้ (จัสตินตันพูดพล่อยชัยชนะ) ของเขาและลูกชายวัยรุ่น ไปเยี่ยมชมก็คือตอนนี้จะอยู่ที่
อภิมหาสงครามล้างโลก
จากใต้พื้นโลก และทำลายทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก เป็นการบุกโจมตีโลกครั้งแรกของพวกมนุษย์ต่างดาว เรย์ต้องพยายามตะเกียกตะกายเพื่อช่วยลูกๆ เของเขา ให้พ้นจากความหายนะของศัตรูที่ไร้ความปราณีเหล่านี้ แต่ไม่ว่าจะหนีไปทางใด ก็ไร้ซึ่งความปลอดภัยและที่พักพิง มีเพียงความมุ่งมั่นที่ยากจะทำลายได้ของ เรย์ เท่านั้น ที่จะสามารถปกป้องคนที่เขารักได้
เรื่องราวก็ว่าด้วยเหตุการณ์มนุษย์ต่างดาวมาบุกโลกน่ะครับ หนังก็โฟกัสมาที่เรื่องของเรย์ เฟอร์เรียร์ (Tom Cruise) คนงานท่าเรือที่ต้องรับหน้าที่ดูแลลูกในช่วงสุดสัปดาห์ เพราะภรรยาเก่าของเขา (Miranda Otto) จะไปทำธุระกับแฟนใหม่ ซึ่งก็แน่ล่ะครับความสัมพันธ์ระหว่างเรย์ กับ ลูกทั้งสองซึ่งก็มี ร็อบบี้ (Justin Chatwin) และ เรเชล (Dakota Fanning) ก็ค่อนข้างจะระหองระแหงสุดๆ แต่แล้วไม่นานเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อเกิดเมฆดำปกคลุมเมือง ตามด้วยฟ้าผ่า และพื้นถนนก็ค่อยๆ ยุบตัวลง และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของการทำลายล้างโลกของพวกมันครับ ซึ่งเรย์ก็เลยต้องพาลูกทั้งสองหนีเพื่อชีวิตรอด แล้วหนังจะเป็นไงต่อไปก็ลองไปดูกันต่อแล้วกันครับ
เอาล่ะ เมื่อผมดูจบ ยอมรับเลยว่า เหนื่อยมากครับ หนังบ้าอะไรก็ไม่รู้ คือช่วง 15 นาทีแรกมันก็จะเรื่อยๆ แต่ก็โอเคนะครับ เป็นการปูพื้นตัวละครได้ดีพอควร และพอนาทีที่ 16 เท่านั้นแหละ เรื่องหายนะสารพัดแบบก็ถูกใส่ลงมาแบบไม่ยั้ง แทบไม่มีเวลาให้พักหายใจเลยอ้ะคับ ความลุ้นนี่ใส่เข้ามาตลอด และฉากการทำลายล้างก็ต้องบอกว่าเฉียบมาก คือมันก็ไม่เชิงว่าแปลกใหม่นะครับ ผมว่าคอหนังหายนะน่าจะคุ้นเคยกันมาบ้างแหละ
พวกตึกถล่ม แผ่นดินแยกไรเงี้ย แต่เฮีย Steven Spielberg แกสามารถนำเสนอออกมาได้อย่างน่าสนใจและตื่นเต้นมาก ยิ่งไอ้ตอนเกิดเรื่องครั้งแรกนั่นมันฉับพลันแบบไม่ทันตั้งตัวจริงๆ ครับ แล้วเรื่องมันก็เกิดต่อๆๆๆ กัน คือถ้าผมไปอยู่ในเหตุการณ์จริงคงทำอะไรไม่ถูกแล้วล่ะคับ และหนังก็สามารถทำให้คนดูรู้สึกเหมือนอยู่ร่วมในความหายนะนั้นด้วย
ดังนั้นถ้าพูดถึงความเป็นหนังหายนะซักเรื่อง ผมว่าเรื่องนี้เด็ดมากครับ Effect เจ๋งครับ ไอ้พวกฉากตึกพังแผ่นดินแยก หรือฉากการทำลายล้างต่างๆ ทั้งสมจริงและน่ากลัว มุมกล้องก็จับภาพได้ดีมาก อย่างไอ้ฉากแผ่นดินค่อยๆ แตกเป็นริ้วๆ จนไปสุดที่ตึกแล้วตึกก็พังนี่ ได้อารมณ์จริงๆ ครับ และดนตรีของ John Williams คอมโพเซอร์คู่บุญของเฮีย Spielberg ก็เด่นไม่ใช่น้อย โทนมันค่อนข้างสดครับ ผมว่าแนวมันยังคงเป็นสไตล์ลุง John แกนั่นแหละ แต่โทนมันค่อนข้างหม่นและตื่นเต้น ส่วนมากลุงแกจะทำดนตรีแบบตื่นเต้นเชิงฮึกเหิมใช่มั้ยอะ อย่างใน Star Wars เงี้ย แต่กับเรื่องนี้ ดนตรีมันตื่นเต้นแบบสิ้นหวังอ้ะคับ มันให้อารมณ์เช่นนั้นจริงๆ
นั่นคืออะไรที่ผมชอบครับ อีกอย่างก็คือการแสดงของหนู Dakota Fanning ซึ่งบางคนอาจบอกว่าทำไมแกเอาแต่ร้องอยู่ได้ อ้าว ก็เด็กอ้ะคับ ไม่ทราบว่าปกติไม่เคยเห็นเด็กร้องกันเลยเรอะ เวลาเจอเรื่องแบบนี้เด็กเขาก็ต้องตกใจนะสิอะ จะให้หัวเราะมั้ยล่ะนั่น ในเรื่องหนูแกเจอเรื่องบ้าๆ ตลอด ขนาดผู้ใหญ่อย่างผมยังเกร็งอ้ะ เด็กก็ต้องมีสะดุ้งอยู่แล้วล่ะ และผมว่าตอนที่เธอร้องแสดงความตกใจหรือกลัวนี่ช่วยเพิ่มความสับสนและกดดัน ให้หนังได้มากเลยครับ ฉากลุ้นๆ หลายอันนี่ หนู Dakota แกมีส่วนช่วย Build มากทีเดียว
เอาล่ะนั่นคือที่ผมเห็นว่าเจ๋งครับ ต่อมาก็คือที่มันรู้สึกสะดุดล่ะ ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตัวพี่ Tom Cruise นี่แหละครับ
ผมไม่ได้มีอคติครับ ผมไม่ได้เอาน้ำใส่ไมค์ไปฉีดหน้าแกด้วย (ฮา) แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ คือบทนี้มันเป็นบทพ่อครับ โอเค เป็นพ่อประเภทไม่ค่อยรับผิดชอบเท่าไหร่ ซึ่งสไตล์นี้พี่ Tom แกพอไหว เพราะเขาดูเหมือนเด็กไม่รู้จักโตมาแต่ไหนแต่ไร แต่มันเริ่มแหม่งๆ ก็ตรงที่หน้าแกไม่แก่อ้ะ คือเขาดูเยาว์วัยเหลือเกิน ไม่ทราบมีสูตรรักษาความเยาว์ได้อย่างไรอ้ะนะครับ แต่ดูไม่แก่อ้ะ (คล้ายๆ Michael J. Fox แต่ไม่หนักเท่า) แล้วทีนี้ โอเคถ้าเขามีลูกสาวแค่หนูเรเชลคนเดียวผมก็รับได้ แต่นี่ดันมีลูกชายอย่างร็อบบี้เข้าไปอีกดอก นี่แหละที่ผมว่ามันไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่