รีวิว The Suicide Squad
รีวิวหนัง แม้ว่าใครหลายๆ คน จะรู้สึกแปลกใจเบาๆ ว่าเพราะอะไรถึงตัดสินใจรี บูตสร้างใหม่เร็วๆ เพียงนี้ ไม่ต่างกับ การตบฉาด หน้าหนังเวอร์ชั่นที่แล้วเลย แต่ก็เหมือนจะได้คำตอบลางๆ เมื่อได้ดู “The Suicide Squad” ฉบับใหม่ล่าสุด ที่ได้ ตัวพ่อสุดเทพ คนทำหนังผู้สร้างสรรค์แห่งยุค “เจมส์ กันน์” มากุมบังเหียนดูแลงานสร้างให้แทน ที่ผลลัพธ์กลายเป็นว่า…มันดูดีขึ้นมากๆๆๆๆในทุกๆ องค์ประกอบจากฉบับที่แล้วจริงๆ แม้ว่าจะไม่อยากนำเอาไปเปรียบเทียบเลยก็ตาม
The Suicide Squad ฉบับใหม่นี้ได้โฟกัสกับภารกิจครั้งใหม่ของเหล่านักโทษคดีอุกฉกรรจ์แห่งเบลรีฟ คุกที่มีอัตราการตายของนักโทษสูงที่สุดในสหรัฐฯ ที่ที่สุดยอดวายร้ายถูกคุมขังเอาไว้ และพวกมันก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อจะออกมาให้ได้ แม้ว่าจะต้องเข้าร่วมหน่วยงานลับสุดยอด หน่วยที่ซ่อนไว้ในเงามืดอย่าง Task Force X เพื่อปฏิบัติภารกิจที่ไม่ทำก็ตาย รวบรวมเอาเหล่าวายร้ายทั้ง Bloodsport, Peacemaker, Captain Boomerang, Ratcatcher 2, Savant, King Shark, Blackguard, Javelin และยัยโรคจิตที่ทุกคนชื่นชอบ ฮาร์ลีย์ ควินน์
รีวิว The Suicide Squad
หลังจากนั้นก็โยนอาวุธให้พวกมัน โยนพวกมันลงไปบนเกาะของอาชญากรสุดชั่วร้าย Corto Maltese เดินฝ่าเข้าไปในป่าที่เต็มไปด้วยศัตรู รายล้อมด้วยกองกำลังในทุก ๆ พุ่มไม้ ทีมวายร้ายนี้จะต้องเข้าไปค้นหาและสังหารเป้าหมาย คุมโดยผู้พัน ริก แฟล็ค ให้พวกมันยังอยู่กับร่องกับรอย โดย อแมนด้า วอลเลอร์ เจ้าหน้าที่ผู้คุมของ Task Force X จะคอยจับตาดูพวกมันในทุกย่างก้าว และถ้าพวกมันก้าวผิดเพียงก้าวเดียว พวกมันก็ตาย (ไม่ว่าจะด้วยฝีมือของศัตรู, ฝีมือของเพื่อนร่วมทีม หรือตายด้วยมือของ อแมนด้า เอง) ถ้าใครจะวางเงินเดิมพันล่ะก็ ทางที่ดีก็วางไปในทางตรงข้ามกับพวกเขาซะ
พยายามที่จะไม่เปรียบเทียบกับหนังเวอร์ชั่นปี 2016 ของ “เดวิด เอเยอร์” ก็แล้วกัน โฟกัสเน้นๆ ที่ปัจจุบัน ก็ต้องยอมรับว่าการเข้ามาดูแลงานสร้างของ The Suicide Squad ครั้งนี้ของ เจมส์ กันน์ ถือว่าสามารถใช้ความโดดเด่นในพรสวรรค์การสร้างหนังของเขาออกมาใช้ได้อย่างเข้าที่เข้าทาง และเพิ่มสมดุลให้กับหนังรวมทีมเหล่าร้ายของจักรวาลดีซีให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าโดยภาพรวมนั้นจะยังไม่ได้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบอะไร แต่ก็ถือว่าเป็นความบันเทิงในหนังฮีโร่ที่ผู้ชมถวิลหาเรื่องหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่า เจมส์ กันน์ เข้ามาคลุกเคล้าองค์ประกอบของ The Suicide Squad ให้ดูน่าสนใจยิ่้งขึ้น โดยเฉพาะการเอาใจใส่ในเรื่ององค์ประกอบของตัวละครที่หยิบเข้ามาในหนัง แม้ว่าจะเยอะแยะเต็มไปหมด แต่ก็สามารถปูทางและสร้างมิติให้กับตัวละครนั้นๆ ได้อย่างน่าสนใจและมีชั้นเชิง อีกทั้งบางตัวละครยังโดดเด่นที่สามารถนำเอาไปพัฒนาต่อได้อีกด้วย
ความรู้สึกหลังดูจบ
การคัดเลือกคาแรกเตอร์ที่นำมาใช้ในหนังเรื่องนี้ถือว่าเป็นช้อยส์ที่ฉลาดเลือกไม่เบา เพราะนอกจากจะใช้ตัวละครเดิม อย่าง “ฮาร์ลีย์ ควินน์”, “ริก แฟล็ก” หรือ “กัปตันบูมเมอแรง” ที่มีมิติที่เด่นในตัวเองอยู่แล้ว ก็เลือกเอา “บลัดสปอร์ต” ขึ้นมาเป็นตัวละครนำที่ปูทางเอาไว้ได้หนักแน่น เสริมด้วย “พีชเมเกอร์” ที่ก็มีศักยภาพเทียบเคียงกันเลย
ในขณะเดียวกัน ตัวละครเสริมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น “คิงชาร์ก”, “โพก้าด็อด”, “ทิงเกอร์” หรือ “แรดแคชเชอร์ 2” ก็ไม่ลืมที่จะใส่ใจและลงรายละเอียดให้ด้วย นับว่าเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวที่ เจมส์ กันน์ มักจะใส่เอาไว้ในหนังของเขา แม้ว่าโดยรวมในส่วนของบทหนังจะไม่ค่อยมีดีเทลพอๆ กับเวอร์ชั่นก่อนสักเท่าไหร่ โครงเรื่องยังออกมาแนวคล้ายเดิม เพิ่มเติมคือการใส่จังหวะจะโคนของหนังที่ได้น่าสนใจขึ้น ลดความคลี่เช่เดิมๆ ลงไป หยอดมุกตลกเสียดสีให้ได้ยิ้มตามทาง
คงต้องบอกว่าในด้านงานสร้างของ The Suicide Squad ก็ค่อนข้างน่าพอใจ แม้จะยังไม่ได้โดดเด่นที่สุด การดีไซน์และฉากแอคชั่นต่างๆ ทำออกมาได้เวอวังทุ่มสุดตัว คือถ้าหนังจะมาทางนี้…ก็ไปให้สุดทาง ซึ่งตัวหนังก็พาคนดูไปถึงสุดทางได้จริงๆ ไม่ปล่อยทิ้งค้างเอาไว้แบบให้เสียอารมณ์ เป็นหนังที่ความบ้าบอ เพี้ยน และสุดโต่ง ยกระดับและปรับปรุงจากเดิมเพิ่มขึ้นมาได้หลายเท่าตัว ซึ่งแน่นอนว่าหนังเรื่องนี้เหมาะกับการดูบนจอใหญ่ในโรงหนังมากกว่าจริงๆ
ทางด้านการแสดงของทีมนักแสดงชุดนี้ ไม่ต้องพูดอะไรเยอะ แค่เจอมืออาชีพ 3-4 คน นำทีมให้ก็ช่วยยกระดับหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้แล้ว “มาร์โกต์ ร็อบบี้” ยังเต็มที่กับบทตัวเองเช่นเดิม “ไอดริส อัลบา”, “จอห์น ซีนา” หรือ “โจ คอนนาแมน” ก็ล้วนแต่เป็นนักแสดงที่เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยส่งเสริมตัวหนังเอาไว้ได้ค่อนข้างดี
แต่เดี๋ยวจะหาว่าอวยเกินไป เพราะอันที่จริง The Suicide Squad ก็ยังมีจุดบกพร่องประปรายอยู่รายทางไปตลอดทั้งเรื่อง นอกจากเรื่องของบทหนังที่ค่อนข้างเบาโหว่ไปสักหน่อย ดูไม่หนักแน่นและจริงใจที่ซื้ออารมณ์คล้อยตามของผู้ชมได้ แต่โชคดีที่ได้คาแรกเตอร์ต่างๆ ในหนังมาช่วยพยุงส่วนนี้เอาไว้ การเล่าเรื่องของหนังก็มีส่วนที่นำให้บางส่วนดูเฉิ่มๆ เชยๆ ไปบ้าง ตัดสลับไปมาแบบขัดอารมณ์เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสนุกโดยรวมของหนังลดหลั่งไป
โดยสรุปแล้ว The Suicide Squad เห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด จนได้คำตอบแล้วว่า วอร์เนอร์ฯ ตัดสินใจรีบูตหนังเรื่องนี้ทำไม หนังที่เพิ่งจะทิ้งช่วงห่างไปแค่ไม่กี่ปี เพราะว่า…นี่คือการแก้แกมและแก้สถานการณ์ กอบกู้หน้าให้กับจักรวาล ด้วยการแก้ไขให้ชัดๆ ไปแล้วว่าหนังเวอร์ชั่นใหม่นี้จะดีขึ้นจากเดิมได้อย่างไร นับว่าเป็นบุญแท้ของสตูดิโอ ที่ได้ เจมส์ กันน์ เข้ามาช่วยจัดการดูแล เพราะถ้าไม่ใช่เขาคนนี้…ก็อาจจะสะเปะสะปะตามเดิม ไม่พ้นทางนี้แน่นอน
JAMES GUNN คือผู้กำกับที่คูลมาก ๆ คนหนึ่งแห่งยุค
Colonel Rick Flag (Joel Kinnaman คนเดิมจากภาคแรก) ได้รับมอบหมายให้คุมทีมฮีโร่วายร้ายทีม A ได้แก่ Harley Quinn (Margot Robbie จาก Birds of Prey), Captain Boomerang (Jai Courtney จาก Terminator Genisys), Blackguard (Pete Davidson จาก Saturday Night Live), T.D.K. (Nathan Fillion จาก Castle), Javelin
(Flula Borg จาก Pitch Perfect 2), Mongal (Mayling Ng จาก Wonder Woman), Weasel (Sean Gunn จาก Guardians of the Galaxy), และ Savant (Michael Rooker จาก Guardians of the Galaxy) ไปบุกทำลาย Project Starfish ของรัฐบาลเผด็จการ-รัฐประหารที่ประเทศ Corto Maltese ซึ่งเป็นเกาะอยู่ทางใต้ของอเมริกา
ตามด้วยทีม B นำโดย Bloodsport (Idris Elba จาก Thor), Peacemaker (John Cena จาก Bumblebee), Polka-Dot Man (David Dastmalchian จาก Ant-Man), Ratcatcher 2 (Daniela Melchior) ลูกสาวของ Ratcatcher (Taika Waititi จาก Jojo Rabbit), และ King Shark (Sylvester Stallone จาก Rambo)
เราจะเห็นได้ว่า กลุ่มฮีโร่วายร้ายตัวหลักต่างมีปูมหลังหรือมีมิติกันทั้งสิ้น เช่น Bloodsport ก็มีปมเรื่องการเป็นฮีโร่หรือ role model ของลูกสาววัยรุ่น, Ratcatcher 2 ก็มีปมเรื่องพ่อ, Polka-Dot Man ก็มีปมเรื่องแม่, หรือแม้แต่ครึ่งคนครึ่งฉลามอย่าง King Shark ก็มีพัฒนาการทางความสัมพันธ์ ซึ่งเขาจะมีจังหวะที่จะเผยสตอรี่เหล่านั้นอย่างมีชั้นเชิง
ไม่ใช่แนะนำอย่างยัดเยียดเหมือนยัดปึกชีทใส่หัวคนดูก่อนเข้าห้องสอบ 5 นาทีอย่างที่ Suicide Squad เคยกระทำ ตรงกันข้าม James Gunn ใช้ฉากเปิดในการแนะนำตัวละครอย่างบรีฟ ๆ ทำให้เข้าเรื่องไว ไม่เวิ่นเว้อ แต่คนดูรู้สึกจดจำตัวละครต่าง ๆ ได้แม้บางตัวจะออกมาแค่ชั่วครู่ และมีการกระจายบทที่ค่อนข้างแฟร์ทั้งตัวหลัก ตัวรอง และตัวสมทบ พูดง่าย ๆ เขาสามารถพลิก “การกระจายบท” ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดอ่อนของภาคแรกมาทำเป็นจุดแข็งในภาคนี้ได้
โดยสรุป The Suicide Squad คึอหนังบล็อกบัสเตอร์และหนังฮีโร่ที่สนุกที่สุดแห่งปี เอาไปเลย เต็มสิบไม่หัก จัดไป!