รีวิว Spiderhead

 

รีวิวหนังฮิต เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องของทาง Netflix ที่น่าสนใจไม่น้อยเลยตั้งแต่มีการปล่อยตัวอย่างเรียกน้ำย่อยก่อนหน้านี้ไปกับเรื่อง Spiderhead ที่จะมาในคอนเซ็ปต์ไซไฟวิทยาศาสตร์บวกกับความเป็นทริลเลอร์อยู่พอสมควร เนื้อหาว่าด้วยการทดลองยาที่สามารถเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ได้ตามต้องการ ซึ่งพล็อตที่ว่าน่าสนใจแล้วแต่
รีวิว Spiderhead
พอหันมาดูรายชื่อนักแสดงมันก็ยิ่งน่าดึงดูดเข้าไปอีกมีทั้ง คุณคริส เฮมสวอร์ธ ซุปตาร์ตัวพ่อที่กำลังจะปล่อยผลงานอย่าง Thor Love and Thunder ในไม่ช้านี้ พ่วงมาด้วยนักแสดงอย่างคุณไมลส์ เทลเลอร์ เจ้าของบท รูสเตอร์ ใน Top Gun Maverick อีกทั้งการได้หัวเรือใหญ่อย่างคุณโจเซฟ โคซินสกี้ มาดูแลก็เหมือนเป็นการแย็บคนดูว่า Spiderhead เรื่องนี้ไม่ใช่หนังเกรด B เนื้อหาจำเจทั่วไปของ Netflix แน่นอนเพราะผลงานพี่แกที่มีทั้ง Top Gun Maverick, Oblivion, TRON: Legacy ที่สามารถการันตีคุณภาพของผู้กำกับคนนี้ได้อย่างชัดเจน
รีวิว Spiderhead
นี่เป็นหนังทริลเลอร์ไม่ใช่หนังแอ็กชั่นใดๆ ทั้งสิ้น เรื่องราวจึงดำเนินไปแบบเน้นบทสนทนากับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวทดลอง โดยเราก็เป็นเหมือนผู้ขมการทดลองในเรื่องเช่นกันว่าจะออกมาแบบไหน ซึ่งเอาจริงๆ อารมณ์ทริลเลอร์ระทึกๆ ในเรื่องก็แทบไม่มีให้เห็นเท่าไหร่ ทุกฉากที่ออกมาเป็นฉากเน้นบทสนทนาไปเรื่อยๆ ฉากในเรื่องนี้ก็ซ้ำๆ มีแค่
ฉากห้องทดลองซะ 80% ของเรื่อง นอกนั้นก็เป็นสถานที่นอกห้องนิดหน่อยที่เหล่านักโทษทำกิจกรรมต่างๆ ตอนจบมีออกไปด้านนอกไม่ถึง 5 นาทีก็จบเรื่อง  มีหลุดมาเป็นฉาก
ทริลเลอร์ก็แทบไม่ถึง 1% ของเรื่อง ทั้งๆ ที่ตัวเนื้อเรื่องมันก็มีจุดชวนให้ระทึกได้อยู่ จากความสงสัยว่าการทดลองนี้จริงๆ แล้วมันคืออะไร ยาพวกนี้มีขอบเขตอันตรายแค่ไหน แต่ด้วยความที่เรื่องเล่าแบบล่องลอยไปเรื่อยๆ โดยค่อยๆ ให้เห็นว่าอดีตของตัวเอกไมล์ที่ดูเป็นคนดีในปัจจุบัน แต่มีโทษร้ายแรงในอดีตจากอะไร ซึ่งพอเฉลยมาก็ไม่ได้เซอไพรส์
อะไรเลยสักนิด ตัวยาที่ดูจะมีโทษร้ายแรงก็ไม่ได้เน้นอะไรมาก แต่ไปโฟกัสว่าตัวเอกสตีฟที่พี่คริสเล่นเป็นตัวร้ายที่แอบทดลองผิดจรรยาบรรณกับนักโทษมากกว่าผลร้ายแรงจากยา ซึ่งรวมๆ แล้วเรื่องแทบจะเบาหวิว ไม่ได้มีฉากระทึกขวัญหรือรุนแรงอะไรเลยทั้งสิ้น
รีวิว Spiderhead
ตัวเรื่องนอกจากจะไม่ระทึก ไม่แอ็กชั่น ไม่ดราม่า แล้วยังดันกลายเป็นหนังตลกแบบไม่น่าเชื่อว่ามันจะตลก คือแรกๆ ในเรื่องจะมียาที่ทำให้นักโทษขำ เราอาจจะขำๆ ตามไปด้วย แต่เรื่องดันพยายามทำให้ยาขำนี่กลายมาเป็นของเล่นสำคัญของเรื่องต่อๆ ไปด้วย อารมณ์แบบว่ายาขำถูกแทรกเข้ามาเป็นเมนของเรื่องที่ทำให้เรื่องดูตลกไปได้เรื่อยๆ ทุกครั้งที่ยาขำนี่ออกฤทธิ์ โดยเฉพาะช่วงท้ายเรื่องกลายเป็นยาขำนี่ทำให้เรื่องดูเป็นหนังตลกชัดเจน ทั้งเพลงประกอบที่ใส่มารื่นเริงตัดกับฉากไคลแม็กซ์จี้ๆ รวมกับผลของยาขำที่ทำให้
เรื่องที่น่าจะดูดาร์คๆ กลับปิดจบลงแบบเป็นหนังตลกชัดๆ ซึ่งก็โอเคอยู่ที่เรื่องไม่เครียด แต่ก็เหมือนว่ามันผิดที่ผิดทางยังไงไม่รู้ จะว่าผู้กำกับไม่มีฝีมือก็ไม่ใช่ เพราะนี่คือ Joseph Kosinski ที่กำกับ Top Gun: Maverick ที่ฉายโรงอยู่ตอนนี้ แต่ดูแล้วเขาน่าจะมารับหน้าที่กำกับตามบทเท่านั้น ซึ่งบทหนังมันไม่ได้ดีอะไรมากอยู่แล้วแต่แรกด้วย แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นหนังห่วยอะไรเมื่อมองจากคุณภาพงานสร้างของหนังเน็ตฟลิกซ์เองก็ราวๆ นี้อยู่แล้วครับ เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

รีวิว Spiderhead

รีวิว Spiderhead

สิ่งที่ดีในเรื่องนี้ก็คงมีแค่พี่คริสที่มารับบทเป็นตัวร้ายบ้าง แล้วก็เป็นตัวร้ายที่มีหลายอารมณ์เหลือเกิน ทั้งบทที่ดูชิลๆ ไม่ร้าย แล้วก็พลิกมาร้ายแบบหน้าตายก่อนตัดสลับมาขายขำเพิ่มไปอีก ซึ่งก็เหมือนเขาจะพยายามวางตัวเองให้กลายเป็นนักแสดงในบทติดตลกนิดๆ อารมณ์ดีต่อเนื่องจาก Thor ไปโดยปริยาย ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไรเพราะคริสเองก็แสดงตลกแนวนี้ให้ผู้ชมได้หัวเราะได้จริงๆ
ถือเป็นหนังทุนต่ำขายพี่คริสเต็มตัว รวมๆ พอหยวนๆ ดูได้ แม้ว่าเนื้อเรื่องจะจืดชืดไปสักหน่อย  แต่ถ้าไม่ได้สนใจดูพี่คริสก็ข้ามผ่านไปเลย เพราะที่เหลือในเรื่องแทบไม่มีอะไรที่น่าสนใจแปลกใหม่แม้แต่น้อย
ภาพที่ 1เนื้อหาคร่าวๆของ Spiderhead จะเล่าเกี่ยวกับตัวละคร สตีฟ แอ็บเนสตี เจ้าของเรือนจำสุดไฮเทคกับการทดลองยาบางอย่างที่จะสามารถเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกหรือบุคลิกภาพของคนได้อย่างตามใจนึก และบรรดานักโทษที่เข้าร่วมโครงการครั้งนี้ก็ล้วนตัดสินใจอาสามาทดลองด้วยตัวเองแลกกับอิสระที่จะไม่มีการคุมขัง มีห้องพัก มีอาหาร คอยเซอร์วิสเต็มที่ แต่แล้วการทดลองก็เริ่มไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ เมื่อนักโทษคนสนิทอย่าง เจฟฟ์ เริ่มสัมผัสได้ว่าสตีฟเองกำลังทำบางอย่างที่เกินขอบเขตเกินควบคุมได้
รีวิว Spiderhead
จุดเด่น
ความน่าสนใจในเรื่องของไอเดียที่ต้องการนำเสนอผู้ชมที่เปิดหัวเรื่องมาได้น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เรียกได้ว่าตลอดครึ่งชั่วโมงแรกมันเต็มไปด้วยปริศนามากมายที่หนังทิ้งเอาไว้เพื่อรอเซอร์ไพรส์คนดูในเฉลยตอนท้ายเรื่อง อีกทั้งการพยายามใส่หลักจิตวิทยาต่างๆเข้ามาก็ยิ่งทำให้น่าสนใจเข้าไปอีก หรือแม้แต่เรื่องความบ้าบิ่นของการทดลองครั้งนี้ที่มันเริ่มเลยเถิดไปจนละเมิดศีลธรรมความเป็นมนุษย์ก็ล้วนถูกเล่าผ่านสองตัวละครหลักได้อย่างแยบยล
ในส่วนความน่าสนใจของตัวละครนั้น หลักๆบทมันจะกองอยู่ที่สตีฟกับเจฟฟ์ซะเป็นส่วนใหญ่ การปูเรื่องมาจนไปถึงเฉลยในตอนท้ายก็เล่าผ่านสองคนนี้เป็นหลัก ยิ่งตัวละครอย่างเจฟฟ์ที่แสดงโดยคุณไมลส์ เทลเลอร์ ตัวผู้เขียนเองค่อนข้างชอบเป็นพิเศษ เจ้าตัวเป็นตัวละครที่ค่อนข้างมีมิติ อารมณ์ต่างๆที่สื่อสารผ่านสีหน้าแววตาเวลาโดนกระตุ้นด้วยยาก็แสดงออกมาได้ดีเกินคาด และยิ่งหนังใส่แบ็คกราวด์เบื้องหลังชีวิตของเจ้าตัวเข้ามาด้วยมันก็ยิ่งทำให้คนดูอินไปกับตัวละครคนนี้ได้ไม่ยาก
จุดด้อย
ถึงแม้ Spiderhead เรื่องนี้จะวางคอนเซ็ปต์มาดีแค่ไหน แต่มันก็ยังดีไม่พอเมื่อมององค์ประกอบทั้งหมดจะเห็นได้ชัดว่าพวกเขาตกม้าตายในส่วนการเล่าเรื่องอย่างชัดเจน หรือถ้าจะบอกว่านี้คือหนังที่เปิดเรื่องโคตรดีแต่จบโคตรแป้กก็ดูเป็นคำพูดที่ไม่เกินจริงเลย ประเด็นเรื่องการทดลองยาที่ทำหน้าที่ได้ดีแค่ช่วงต้นเรื่องเท่านั้น หรือพวกปริศนาที่ทิ้งไว้กับคนดูก็ถูกเฉลยในตอนจบได้ไม่หนักแน่นพอ อีกทั้งในตอนจบที่หนังเปลี่ยนโทนของตัวเองจากแนวทริลเลอร์ที่ค่อยๆเบิร์นคนดูที่ไปทีละนิด กลายเป็นแอ็คชั่นทริลเลอร์รีบตัดจบแบบหนังตลาดไปซะดื้อๆ
ประเด็นของยาที่ทดลองกับนักโทษ หรือจุดประสงค์แท้จริงของตัวละครสตีฟมันดูเบาจนน่าเสียดายหลายๆอย่างที่หนังปูมาในต้นเรื่อง อีกหนึ่งอย่างคือพวกฉากโหดต่างๆที่มันน้อยจนน่าใจหายเรียกได้ว่าใน Trailer มีฉากโหดประมาณไหน ในหนังก็มีอยู่ประมาณนั้นแหละ
ภาพที่ 4ในส่วนของตัวละครนั้นผมเองค่อนข้างเสียดายบทของคุณคริส เฮมสวอร์ธ ไม่ใช่ว่าเจ้าตัวแสดงไม่ดีอะไรนะ แต่มันเป็นเพราะทบมากกว่าที่ไม่ค่อยส่งถ้าเทียบกับบทของคุณไมลส์ เทลเลอร์ ความน่าสนใจของตัวละครสตีฟที่มีแค่ในช่วงแรกเท่านั้นแต่พอถึงช่วงบทสรุปเจ้าตัวยังดูอิมแพ็คไม่พอ เสียดายบทบาทที่น่าจะสามารถขยี้ให้สุดกว่านี้ได้อีก ส่วนคนอื่นที่นอกเหนือจากสองคนนี้ก็ไม่ค่อยเป็นที่จดจำเท่าไร ด้วยแอร์ไทม์ที่น้อยบางคนก็เหมือนถูกใส่เข้ามาให้พอเป็นสีสัน หรือตัวละครอย่างมาร์ค อีกหนึ่งคนที่เป็นจุดเปลี่ยนเล็กๆในตอนท้าย แต่กลับกลายเป็นว่าระหว่างทางในการเล่าเรื่องเจ้าตัวแทบไม่ได้โดดเด่นอะไรเลยเหมือนเป็นตัวละครพร็อพให้คริส เฮมสวอร์ธ เท่านั้น
สรุป
Spiderhead เรื่องนี้ต้องใช้คำว่าพอดูฆ่าเวลาได้ ใครที่กลัวว่าเนื้อหาของเรื่องจะเข้าใจยาก ผู้เขียนรับประกันเลยว่าดูรู้เรื่องแน่นอน เนื่องจากหลายส่วนมันยังมีความเป็นหนังตลาดที่สามารถย่อยได้อยู่ ส่วนใครที่แอบหวังว่าหนังมันจะเพอร์เฟคด้วยชื่นชั้นของคุณโจเซฟ โคซินสกี้ อันนี้อาจจะผิดหวังได้หลายอย่างที่น่าจะเล่าได้ลึกกว่านี้กลับถูกโยนทิ้งไว้กลางทาง เปลี่ยนเป็นแอ็คชั่นเอาดื้อๆในช่วงท้าย เสียดายพลังนักแสดงที่อุตส่าห์ได้ตัวท็อปมาแล้วทั้งทีก็ดันใช้ไม่คุ้มเอาซะเลย
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องของทาง Netflix ที่น่าสนใจไม่น้อยเลยตั้งแต่มีการปล่อยตัวอย่างเรียกน้ำย่อยก่อนหน้านี้ไปกับเรื่อง Spiderhead ที่จะมาในคอนเซ็ปต์ไซไฟวิทยาศาสตร์บวกกับความเป็นทริลเลอร์อยู่พอสมควร เนื้อหาว่าด้วยการทดลองยาที่สามารถเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ได้ตามต้องการ ซึ่งพล็อตที่ว่าน่าสนใจแล้วแต่พอ
หันมาดูรายชื่อนักแสดงมันก็ยิ่งน่าดึงดูดเข้าไปอีกมีทั้ง คุณคริส เฮมสวอร์ธ ซุปตาร์ตัวพ่อที่กำลังจะปล่อยผลงานอย่าง Thor Love and Thunder ในไม่ช้านี้ พ่วงมาด้วยนักแสดงอย่างคุณไมลส์ เทลเลอร์ เจ้าของบท รูสเตอร์ ใน Top Gun Maverick อีกทั้งการได้หัวเรือใหญ่อย่างคุณโจเซฟ โคซินสกี้ มาดูแลก็เหมือนเป็นการแย็บคนดูว่า Spiderhead เรื่องนี้ไม่ใช่หนังเกรด B เนื้อหาจำเจทั่วไปของ Netflix แน่นอนเพราะผลงานพี่แกที่มีทั้ง Top Gun Maverick, Oblivion, TRON: Legacy ที่สามารถการันตีคุณภาพของผู้กำกับคนนี้ได้อย่างชัดเจน
ภาพที่ 1เนื้อหาคร่าวๆของ Spiderhead จะเล่าเกี่ยวกับตัวละคร สตีฟ แอ็บเนสตี เจ้าของเรือนจำสุดไฮเทคกับการทดลองยาบางอย่างที่จะสามารถเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกหรือบุคลิกภาพของคนได้อย่างตามใจนึก และบรรดานักโทษที่เข้าร่วมโครงการครั้งนี้ก็ล้วนตัดสินใจอาสามาทดลองด้วยตัวเองแลกกับอิสระที่จะไม่มีการคุมขัง มีห้องพัก มีอาหาร คอยเซอร์วิสเต็มที่ แต่แล้วการทดลองก็เริ่มไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ เมื่อนักโทษคนสนิทอย่าง เจฟฟ์ เริ่มสัมผัสได้ว่าสตีฟเองกำลังทำบางอย่างที่เกินขอบเขตเกินควบคุมได้

จุดเด่น ของหนัง

ความน่าสนใจในเรื่องของไอเดียที่ต้องการนำเสนอผู้ชมที่เปิดหัวเรื่องมาได้น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เรียกได้ว่าตลอดครึ่งชั่วโมงแรกมันเต็มไปด้วยปริศนามากมายที่หนังทิ้งเอาไว้เพื่อรอเซอร์ไพรส์คนดูในเฉลยตอนท้ายเรื่อง อีกทั้งการพยายามใส่หลักจิตวิทยาต่างๆเข้ามาก็ยิ่งทำให้น่าสนใจเข้าไปอีก หรือแม้แต่เรื่องความบ้าบิ่นของการทดลองครั้งนี้ที่มันเริ่มเลยเถิดไปจนละเมิดศีลธรรมความเป็นมนุษย์ก็ล้วนถูกเล่าผ่านสองตัวละครหลักได้อย่างแยบยล
ในส่วนความน่าสนใจของตัวละครนั้น หลักๆบทมันจะกองอยู่ที่สตีฟกับเจฟฟ์ซะเป็นส่วนใหญ่ การปูเรื่องมาจนไปถึงเฉลยในตอนท้ายก็เล่าผ่านสองคนนี้เป็นหลัก ยิ่งตัวละครอย่างเจฟฟ์ที่แสดงโดยคุณไมลส์ เทลเลอร์ ตัวผู้เขียนเองค่อนข้างชอบเป็นพิเศษ เจ้าตัวเป็นตัวละครที่ค่อนข้างมีมิติ อารมณ์ต่างๆที่สื่อสารผ่านสีหน้าแววตาเวลาโดนกระตุ้นด้วยยาก็แสดงออกมาได้ดีเกินคาด และยิ่งหนังใส่แบ็คกราวด์เบื้องหลังชีวิตของเจ้าตัวเข้ามาด้วยมันก็ยิ่งทำให้คนดูอินไปกับตัวละครคนนี้ได้ไม่ยาก
จุดด้อย
ถึงแม้ Spiderhead เรื่องนี้จะวางคอนเซ็ปต์มาดีแค่ไหน แต่มันก็ยังดีไม่พอเมื่อมององค์ประกอบทั้งหมดจะเห็นได้ชัดว่าพวกเขาตกม้าตายในส่วนการเล่าเรื่องอย่างชัดเจน หรือถ้าจะบอกว่านี้คือหนังที่เปิดเรื่องโคตรดีแต่จบโคตรแป้กก็ดูเป็นคำพูดที่ไม่เกินจริงเลย ประเด็นเรื่องการทดลองยาที่ทำหน้าที่ได้ดีแค่ช่วงต้นเรื่องเท่านั้น หรือพวกปริศนาที่ทิ้งไว้กับคนดูก็ถูกเฉลยในตอนจบได้ไม่หนักแน่นพอ อีกทั้งในตอนจบที่หนังเปลี่ยนโทนของตัวเองจากแนวทริลเลอร์ที่ค่อยๆเบิร์นคนดูที่ไปทีละนิด กลายเป็นแอ็คชั่นทริลเลอร์รีบตัดจบแบบหนังตลาดไปซะดื้อๆ
ประเด็นของยาที่ทดลองกับนักโทษ หรือจุดประสงค์แท้จริงของตัวละครสตีฟมันดูเบาจนน่าเสียดายหลายๆอย่างที่หนังปูมาในต้นเรื่อง อีกหนึ่งอย่างคือพวกฉากโหดต่างๆที่มันน้อยจนน่าใจหายเรียกได้ว่าใน Trailer มีฉากโหดประมาณไหน ในหนังก็มีอยู่ประมาณนั้นแหละ
ในส่วนของตัวละครนั้นผมเองค่อนข้างเสียดายบทของคุณคริส เฮมสวอร์ธ ไม่ใช่ว่าเจ้าตัวแสดงไม่ดีอะไรนะ แต่มันเป็นเพราะทบมากกว่าที่ไม่ค่อยส่งถ้าเทียบกับบทของคุณไมลส์ เทลเลอร์ ความน่าสนใจของตัวละครสตีฟที่มีแค่ในช่วงแรกเท่านั้นแต่พอถึงช่วงบทสรุปเจ้าตัวยังดูอิมแพ็คไม่พอ เสียดายบทบาทที่น่าจะสามารถขยี้ให้สุดกว่านี้ได้อีก ส่วนคนอื่นที่นอกเหนือจากสองคนนี้ก็ไม่ค่อยเป็นที่จดจำเท่าไร ด้วยแอร์ไทม์ที่น้อยบางคนก็เหมือนถูกใส่เข้ามาให้พอเป็นสีสัน หรือตัวละครอย่างมาร์ค อีกหนึ่งคนที่เป็นจุดเปลี่ยนเล็กๆในตอนท้าย แต่กลับกลายเป็นว่าระหว่างทางในการเล่าเรื่องเจ้าตัวแทบไม่ได้โดดเด่นอะไรเลยเหมือนเป็นตัวละครพร็อพให้คริส เฮมสวอร์ธ เท่านั้น
สรุป
Spiderhead เรื่องนี้ต้องใช้คำว่าพอดูฆ่าเวลาได้ ใครที่กลัวว่าเนื้อหาของเรื่องจะเข้าใจยาก ผู้เขียนรับประกันเลยว่าดูรู้เรื่องแน่นอน เนื่องจากหลายส่วนมันยังมีความเป็นหนังตลาดที่สามารถย่อยได้อยู่ ส่วนใครที่แอบหวังว่าหนังมันจะเพอร์เฟคด้วยชื่นชั้นของคุณโจเซฟ โคซินสกี้ อันนี้อาจจะผิดหวังได้หลายอย่างที่น่าจะเล่าได้ลึกกว่านี้กลับถูกโยนทิ้งไว้กลางทาง เปลี่ยนเป็นแอ็คชั่นเอาดื้อๆในช่วงท้าย เสียดายพลังนักแสดงที่อุตส่าห์ได้ตัวท็อปมาแล้วทั้งทีก็ดันใช้ไม่คุ้มเอาซะเลย ดูหนังฟรี,ดูหนังออนไลน์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *