รีวิว Iron Man 3

รีวิวหนัง Iron Man 3 ที่จะทำให้ทุกคนน้ำตาแตก ด้วยเนื้อเรื่องที่ ทำให้เราอินกับเรื่องนั้นมากๆ จนเป็นเหมือน พวกเขาที่เป็น ฮีโร่นั้น มีอยู่จริงๆบนโลก สำหรับแอดบี นั้น ต้องบอกว่า น้ำตาท่วมเลยแหละ ฮ่าๆๆ อย่ารอช้าไปอ่านรีวิวกันดีกว่า
เดินทางมาถึงภาคสุดท้ายกันแล้วนะครับ ต้องบอกว่านี่คือภาคที่ดีที่สุดของไอรอนแมนเลยก็ว่าได้ เพราะว่าหนังมีครบทุกรสไม่ได้ดราม่าโดดหรือแอ็คชั่นโดดเหมือนเดิมแล้ว
หนังเล่าเรื่องโทนี่ สตาร์ค/ไอรอน แมน (Robert Downey Jr.) เศรษฐีหนุ่มและนักปัญญาประดิษฐ์ ที่เสียรู้ให้กับศัตรูตัวใหม่ที่กำลังคลืบคลานเข้ามา และทีสิ่งที่ทำให้โทนี่เดือดสุด ๆ ก็คือพวกศัตรูเหล่านี้กำลังต้องการทำลายชีวิตของเขาและคนที่เขารัก โทนี่จึงออกตามหาพวกนี้เพื่อมารับผิดชอบสิ่งที่ทำ งานนี้หนักหนาสาหัสมากเพราะโทนี่ต้องงัดเอาไม้เด็ดทุกสิ่งออกมาใช้เพื่อปกป้องตัวเองและคนที่ตัวเองรัก และพยายามหาคำตอบว่าที่ผ่านมาเขาถูกหุ่นยนต์ที่ตัวเองสร้างขึ้นมาครอบงำหรือเปล่า เว็บหนัง
รีวิว Iron Man 3
สิ่งที่ผมได้เห็นและสัมผัสในภาคจบนี้ก็คือสิ่งที่โทนี่พยายามพัฒนามันขึ้นมาครับ ลำดับแรกก็คือชุดเกราะที่ต้องพัฒนาและปรับปรุงใหม่ เพราะว่ายิ่งเจอศัตรูที่แข็งแก่งเท่าไหร่ โทนี่ก็ต้องพัฒนาชุดเกราะของเขาให้แข็งแกร่งขึ้นตามไป และอีกหนึ่งสิ่งที่คาดไม่ได้คือ การใช้สติปัญญาแก้สถานการณ์เมื่ออยู่ภายใต้ชุดเกราะ คงจะสังเกตเห็นกันใช่ไหมครับว่าเวลาที่โทนี่แกอยู่ในชุดเกราะ แกจะมีAutoBot ที่ชื่อว่าจาร์วิสอยู่เคียงข้างเสมอ คอยบอกกล่าวสถานการณ์และแนะนำตักเตือนโทนี่โดยเปรียบเสมือนสมองของโทนี่เลยก็ว่าได้ แต่โทนี่เองก็ไม่ได้ว่าอยู่ในชุดเกราะตลอดเวลา เพราะฉะนั้นหากเขาเผชิญหน้าศัตรูในช่วงเวลาที่เขาเป็นมนุษย์ธรรมดา เขาจะหาทางรอดและแก้สถานการณ์อย่างไร เพราะต้องยอมรับว่า โทนี่ไม่ได้มีพลังเหนือมนุษย์เหมือนกัปตันอเมริกา และไม่ได้เป็นเทพเจ้าเหมือนธอร์ สิ่งที่เขาต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ที่สุดคือการแก้สถานการณ์นั่นเอง เพราะบอกเลยครับว่าตัวร้ายภาคนี้ไม่ได้กระจอกงอกง่อยเหมือนภาคที่แล้ว ๆ มาแน่นอน
รีวิว Iron Man 3
แน่นอนว่าเป็นเรื่องปกติของหนังมาร์เวลที่จะต้องมีการแทรกมุกตลกขำขันให้คนดูคลายเครียด แต่มันเป็นมุกตลกแบบตลกร้าย ซึ่งการดูมุกตลกร้ายมันต้องตั้งใจดูจริง ๆ และบางครั้งก็อาจจะต้องทำความเข้าใจกับมุกด้วย บางทีมุกก็แบมาไวเกิน ตั้งตัวไม่ทัน แต่มันก็ไม่ได้ฝืดนะครับ สาเหตุที่บอกว่ามันจะมาไม่ทันตั้งตัว เพราะบางทีหนังกำลังดำเนินฉากเครียดอยู่ จู่ ๆ ก็มีมุกตลกแทรกเข้ามาซะอย่างนั้น แล้วแบบนี้ใครมันจะไปตั้งตัวทัน ถ้านี่คือจุดด้อยก็อาจจะเรียกได้นะครับ เหมือนจังหวะในการแทรกมุกเพื่อเปลี่ยนอารมณ์คนดูกะทันหัน มันอาจจะทำให้มึนงงแทนที่จะฮาสำหรับบางคน
ซิกเนเจอร์ของภาคนี้คือถ้าโทนี่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูโดยที่ตัวเองไม่มีชุดเกราะ เขาจะทำอย่างไร เรื่องนี้เลยน่าสนใจขึ้นทันทีและกลับทำให้ผมนึกย้อนไปในช่วงภาคแรกที่เข้าถูกจับตัวไปแล้วใช้ปัญญาประดิษฐ์ สร้างหุ่นยนต์แล้วหนีออกมาได้ แต่ว่าแน่นอนหนังคงไม่เอามุกเดิมมาเล่น คราวนี้หนังฉีกออกไปอีกมุมหนึ่ง นั่นก็คือการเป็นฮีโร่ไม่ได้ว่าจำเป็นจะต้องมีเกราะป้องกัน เขาสามารถเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่เลวร้ายและอยู่รอดได้แม้ว่าจะไม่ต้องพึ่งชุดเกราะก็ตาม เพราะเขาคือไอรอนแมน ความเป็นไอรอนแมนอยู่ที่จิตใจไม่ใช่ชุดเกราะ
คะแนนเนื้อเรื่อง 9/10 หนังมีครบทุกรสเลยครับ ทั้งดราม่า แอ็คชั่น แถมแทรกข้อคิดที่น่าฉงนสงสัย ว่าเกราะเหล็กที่เขาใส่สามารถป้องกันภัยเขาจากศัตรูทั้งมวลได้หรือไม่ หรือว่าจิตใจของเขาต่างหากคือไอรอนแมนที่แม้จริง โดยไม่จำเป็นต้องมีชุดเกราะเขาก็คือไอรอนแมน
คะแนนเอฟเฟคต์ 9/10 บอกเลยว่าภาคนี้จัดเต็มในส่วนของเอฟเฟคต์และความอลังการในการต่อสู้ เพราะว่าศัตรูคนใหม่ของไอรอนแมนนั้นบอกได้เลยว่าไม่ธรรมดา และเราจะได้เห็นการเปลี่ยนเพราะอย่างฉับไวของโทนี่อีกด้วย นี่อาจจะเป็นจุดขายให้กับแฟน ๆ ชาวเกราะเหล็กเลยว่า โทนี่มีเกราะมากมายหลายรูปแบบที่ไว้พร้อมรับมือศัตรู และแน่นอนว่าแต่ละเกราะนั้นสวยเท่และเด็ด ๆ ทั้งนั้น
รีวิว Iron Man 3
ได้ทำความรู้จักกันมาก็หลายภาค ไปร่วมกับซูเปอร์ฮีโร่อื่นๆ กู้โลกก็เคย ก่อนจะกลับมาสู่เรื่องราวของตัวเอง กลับมาคราวนี้ ฮีโร่ของเราเขากลายเป็นพวกหมกมุ่นไปเสียแล้ว แต่มันยังคงเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่มาครบรสทั้งสนุก ฮา และติดซึ้งๆ นิดหน่อยด้วย “Iron Man 3″ ครับ
หลังจากภาคแรก – Iron Man ภาคสอง – Iron Man 2 ที่จบไป ก็ผ่านมาถึง The Avengers ร่วมกันสู้กับเหล่าร้ายไปได้สักพัก ก็ได้เวลาของ ไอรอนแมน (โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์) โชว์เดี่ยวอีกครั้ง คราวนี้ คนเขียนบทสร้างให้ไอรอนแมนกลายเป็นพวกที่มีอาการเครียดและหมกมุ่น ไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน คิดค้นประดิษฐ์โน่นนี่นั่นไม่หยุดหย่อน จนทำให้หวานใจอย่าง เพ็พเพอร์ พ็อตต์ส (กวินเน็ต พัลโทรว์) ชักจะมีงอนๆ ขึ้นมาบ้างละ เว็บดูหนัง

รีวิว Iron Man 3

 

ในภาคนี้ เราได้เห็นมากขึ้นว่า ต่อให้เป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่ต่อสู้กับคนชั่วเพื่อปกป้องคนบนโลกไว้มากมาย แต่คนดีๆ ที่อยู่ข้างกายก็ยังเป็นคนที่เขาแสนแคร์ ไอรอนแมนทุ่มเทเวลาหมดไปกับการสร้างเกราะเหล็กขึ้นมาหลายต่อหลายรุ่น แต่หารู้ไม่ว่า สิ่งที่ตนเคยทำไว้ในอดีตนั้นได้ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองอีกหน แมนดาริน (เบน คิงสลีย์) คือวายร้ายตัวใหม่ที่ดูจะมีความไม่ปกติทางจิตหน่อยๆ
ซึ่งนั่นทำให้มันกลายเป็นวายร้ายที่น่ากลัวกว่าวายร้ายทั่วไปอยู่ประมาณนึงนะ ว่ามะ?
ในภาคนี้ โทนี่ของเราก็ยังคงมีเพื่อนสนิทในกองทัพคนเดิม เจมส์ โร้ดส์ (ดอน ชีเดิล) ซึ่งในภาคนี้ ผมว่าชีเดิลค่อนข้างทำหน้าที่ได้สมกับเป็นเพื่อนพระเอกมากกว่าภาคก่อน (ที่เพิ่งมาประจำการตัวละครนี้แทน เทอร์เรนซ์ ฮาว์เวิร์ด ในภาคสอง) น่าจะด้วยบทที่ส่งเสริมมากขึ้น การเป็นไอรอนแพทริออทมีส่วนช่วยให้พระเอกของเราทำภารกิจได้สัมฤทธิ์ผลอย่างมีนัยสำคัญเลยแหละ ขณะที่อีกตัว อัลดริช คิลเลียน (กาย เพียร์ซ) ก็นับว่าสำคัญต่อเนื้อเรื่องไม่แพ้กัน เพียงแค่ไม่ถูกพูดถึงในตัวอย่างเท่านั้นเอง เว็บดูหนังฟรี
ภาคนี้ เชน แบล็ก กำกับฯ ส่วน จอน แฟฟโร ขึ้นแท่นไปเป็นผู้อำนวยการสร้างแต่ก็ยังมาร่วมแสดงเป็น แฮปปี้ โฮแกน อยู่เช่นเคย
“Iron Man 3″ ยังคงความเป็นหนังซูเปอร์ซีโร่ที่มาพร้อมกับมุขตลกขำขันในแบบของไอรอนแมนเหมือนเช่นเคย เท่านั้นยังไม่พอ หนังยังจัดเต็มด้วยบทที่ลึกขึ้น และการดำเนินเรื่องที่พลิกกลับไปกลับมา แม้จะไม่ได้เดาทางยากมากนัก แต่ก็เป็นเซอร์ไพรส์ที่ไม่เซอร์ไพรส์ที่ทำให้คนดูสนุกในการลุ้นได้อยู่หมัด บางฉากที่เห็นในตัวอย่าง เมื่อมาดูกันยาวๆ ก็นับว่า สร้างอาการลุ้นได้มากกว่าเยอะ แถมช่วงท้ายนี่ ลุ้นกันอย่างต่อเนื่อง ไม่ปล่อยให้หายใจหายคอกันเลยเชียว การมีเกราะไอร่อนแมนจำนวนมากนี่ ทำให้มันเป็นสีสันที่ใหม่ไม่เคยเห็นที่ไหน น่าตื่นตามากๆ ในช่วงนั้น
ผสานเข้ากับเพลงประกอบที่เลือกเอาเพลงโดนใจในอดีตมาประกอบไว้อยู่หลายเพลง สร้างความประทับใจได้เหมือนกับที่หนังซอมบี้อย่าง “Warm Bodies” เคยทำได้มาแล้ว ขณะที่สเปเชียลเอฟเฟ็กต์ วิชวลเอฟเฟ็กต์ต่างๆ ก็ทำได้ดีแทบไม่มีที่ติ แต่ถ้าจะสนใจเรื่อง 3 มิติ เท่าที่ดูมาพบว่า ยังไม่ได้มีฉากโชว์สักเท่าไหร่ ไม่จำเป็นนักที่จะต้องดู 3D ดูในระดับดิจิตอลเฉยๆ ก็โอละ

องค์ประกอบโดยรวมของ

องค์ประกอบโดยรวมของ “Iron Man 3″ นั้นนับว่า เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ดูสนุก มีมุขแทรกมาเยอะ มีแอ็คชั่นมันๆ มีไดอะล็อกโดนๆ ให้อึ้งกัน แถมยังมีช็อตซึ้งให้น้ำตาปริ่มกันด้วยนะ ใครไปชมในโรง อย่าลุกจากที่นั่งจนกว่าจะจบเครดิตตัวสุดท้าย ฟังเพลงที่สุดเจ๋งพร้อมอ่านชื่อทีมงานกันไปพลางๆ เพราะหลังจากนั้น มีฉากที่ซ่อนอยู่ด้วยนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน!
ถ้ามองหนังเรื่องนี้ในฐานะ “ก้าวที่ 3 ของ Iron Man” ผมรู้สึกว่ามันมีอะไรหลายอย่างที่น่าสนใจ
ยิ่งถ้ามองในฐานะ “ก้าวที่ 1 ของ Marvel Phase 2” ก็ยิ่งรู้สึกว่าหลายอย่างในหนังเรื่องนี้ ช่างสะดุดตานัก
Iron Man 3 จริงๆ ก็เหมือนหนังทุกเรื่องในโลกครับ พอออกฉายแล้วย่อมมีทั้งคนที่ชอบ (เพราะมันใช่) คนที่เฉย (เพราะมันเกร่อ) และคนที่เซ็ง (เพราะมันจืด)
ไม่แปลกหากเราจะเฉยหรือไม่ชอบภาคนี้ ไม่ว่าจะเพราะมันเดิมๆ หรือเพราะมัน “ไม่ใช่อ้ะ” (เช่น เรื่องแมนดาริน) หรือหากใครจะชอบก็เป็นธรรมดา แสดงว่าเราถูกเส้นกับสไตล์นี้ และจุดเข้าท่าในหนังมันเข้าตามากกว่าจุดอ่อน
แต่โดยส่วนตัวผมว่าคนที่โอกับ Iron Man 3 น่าจะได้เปรียบเล็กๆ เพราะเป็นไปได้ว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่เหลือใน Phase 2 ของ Marvel จะมีกลิ่นอายและแนวทางประมาณเดียวกัน
อ้อ ผมน่ะเหรอครับ… ผมก็เป็นหนึ่งในคนที่ชอบIron Man 3 ครับ
ต้องบอกก่อนตามเคยครับ รีวิวนี้จะมีสปอยล์เป็นระยะตั้งแต่อย่างอ่อนๆ ไปจนถึงเข้มๆ ดังนั้นสำหรับคนที่ไม่อยากรู้ ขอแนะนำว่าอ่านที่บรรทัดสุดท้ายพร้อมการให้ดาวได้เลยครับ
ในภาคนี้โทนี่ สตาร์ก หรือพี่ไออ้อนแมนของเรา (Robert Downey Jr.) ต้องเผชิญกับเดอะ แมนดาริน (Ben Kingsley) หัวหน้าผู้ก่อการร้ายกลุ่มเท็นริงส์ที่ข่มขู่โลกด้วยการวางระเบิดตามจุดต่างๆ และยังเดินเกมบุกถล่มโทนี่ถึงบ้าน ทำให้เขาต้องรีบตั้งหลักรับมือ และตามหาที่ซ่อนของแมนดารินให้ทัน ก่อนมันจะก่อหายนะครั้งใหม่อีก
ขณะเดียวกันเขาก็ต้องรับมือกับความกลัวที่ผุดขึ้นในใจ ซึ่งเจ้าความกลัวที่ว่านี้ก็เกิดหลังจากเหตุการณ์ใน The Avengers เมื่อเขารู้ว่ายังมีฮีโร่อีกมากมาย พอๆ กับมีวายร้ายอีกตรึมโบ้ ตั้งแต่ตัวเล็กพอดีคำไปจนถึงตัวเบิ้มเท่าตึก…
เขาสัมผัสถึงความเล็กจ้อยของตน เมื่อเทียบกับจักรวาลอันไพศาล
พล็อตเรื่องทำนองนี้ทำให้นึกถึง Spider-Man 3 นะครับ เป็นอีกครั้งที่ฮีโร่ต้องเผชิญศัตรูทั้งภายนอกและภายใน วายร้ายก็ร้าย ในใจก็ว้าวุุ่น จริงๆ ผมว่ามันเป็นโจทย์ของฮีโร่ที่เจ๋งนะครับ ถ้าทำดีๆ ก็จะออกมาสนุก ตื่นเต้น ได้ทั้งแอ็กชันและดราม่าครบ ซึ่งก่อนหน้านี้ Spider-Man 3 ยังทำไม่ได้ หรือแม้แต่ Iron Man 2 ที่มาพร้อมพล็อตมากมาย ก็ยังออกมาไม่ลงตัว ส่วนหนึ่งก็เพราะการเดินเรื่องที่ไวเกินไป เหมือนรีบยัดรีบใส่ข้อมูลให้คนดูเป็นหลัก ส่วนความลื่นและการเร้าอารมณ์กลับกลายเป็นรอง ผลที่ออกมาเลยยังไม่สุดครับ
แต่โดยลำดับแล้ว ผมว่ามันมีพัฒนาการที่ดีครับ เพราะ Iron Man 3 ถือว่าหลายอย่างดีขึ้น เข้าที่เข้าทางขึ้น แม้จะไม่ถึงกับสมบูรณ์แต่ก็ถือได้ว่าภาคนี้อร่อยใกล้เคียงกับภาคแรก
จุดที่ชอบในหนังเรื่องนี้ก็เหมือนกับจุดที่ผมมักชอบเสมอในหนังภาคต่อน่ะครับ นั่นคือ การย้อนไปเล่้าเหตุการณ์ที่เกิดก่อนภาคแรก แต่เราไม่เคยรู้ หรือไม่ก็ย้อนไปสู่จุดเริ่มต้น ทำให้ตัวเอกได้ตระหนักถึงบางสิ่งในภาคแรก ที่เขาอาจจะลืมเลือนไป หลังเผชิญเรื่องราวมามากมาย ซึ่งก็พอดีที่หนังมีครบทั้ง 2 อย่างครับ
สิ่งที่เราไม่เคยรู้ก็ได้แก่การย้อนเหตุการณ์ไปเล่าในอดีต เราได้รู้ว่ายินเซน (Shaun Toub) เคยพบโทนี่มาก่อน แต่พี่ท่านไม่สนใจ (หากจำได้ภาคแรกยินเซนก็บอกว่าเคยเจอโทนี่มาก่อน) ตามด้วยการย้อนเล่าเหตุการณ์เกี่ยวกับอัลดริช คิลเลี่ยน (Guy Pearce) และ มายา แฮนเซน (Rebecca Hall) ที่มีบทบาทสำคัญในภาคนี้
ที่มาที่ไปของศัตรูในภาคนี้ โทนี่ก็มีส่วนทำให้มันเกิดครับ ซึ่งการบอกเล่าในส่วนนี้ก็เป็นการสอนคนดูกลายๆ ให้คิดให้ดีเสมอก่อนทำอะไร เพราะเราไม่มีวันรู้ได้ว่าสิ่งที่เราทำอาจนำผลร้ายมาสู่เราในสักวัน ไม่ว่าจะความไม่รับผิดชอบ ความยะโสโอหัง การเอาแต่เล่นจนเสียงาน ฯลฯ
ดูหนังใหม่ได่ที่ เว็บหนังฟรี

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *