รีวิว Dr Strange
รีวิวหนัง Dr Strange หลังจากที่ Marvel Studios ได้พาเราไปท่องเที่ยวตามแนวคิดพหุจักรวาล (Multiverse) หรือที่เรียกว่ามัลติเวิร์ส ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์หลักของ MCU (Marvel Cinematic Universe) เฟสที่ 4 ในตอนนี้ สถานการณ์เริ่มทวีความวุ่นวายโกลาหลและรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
ด้วยเหตุนี้เอง หมอแปลกจึงต้องขอกลับมาร่ายมนต์เพื่อแก้ไขความผิดพลาดเหล่านั้นใน ‘Doctor Strange in the Multiverse of Madness’ หรือ ‘จอมเวทย์มหากาฬ ในมัลติเวิร์สมหาภัย’
อย่างที่ทราบว่า หมอแปลกที่กลายมาเป็นจอมเวทใน ‘Doctor Strange’ (2016) และไปโผล่ในฐานะสมาชิกอเวนเจอร์ส (Avengers) ในภาพยนตร์หลายเรื่อง มาถึงตอนนี้ หนังเดี่ยวภาคที่ 2 ของหมอแปลกก็มาถึงเสียที พร้อม ๆ กับการจับธีมมัลติเวิร์สมาเล่ากันแบบเต็ม ๆ โดยไม่ต้องเล่าปูพื้นอะไรให้วุ่นวาย บวกกับธีมหนังสยองขวัญที่มาพร้อมกับเรื่องราวของตัวแปรของหมอแปลก และตัวละครอื่น ๆ ที่มาจากมิติเดียวกัน และจากต่างมิติ เว็บหนัง
รีวิว Dr Strange and the Multiverse of Madness
นั่นก็เลย เป็นเหตุให้ทางMarvel Studiosเรียกใช้ทีมงานที่ถือว่า“โดนเส้น” อย่างแรง ทั้ง ‘แซม ไรมี’ (Sam Raimi)ที่เคยกำกับทั้งภาพยนตร์สยองขวัญทั้งไตรภาค ‘Evil Dead’, ‘Drag Me to Hell’ (2009)และกำกับหนังฮีโรไตรภาค ‘Spider-Man’เวอร์ชัน ‘
โทบีย์ แมกไกวร์’ (Tobey Maguire) มากำกับหนังเรื่องนี้ แถมได้ ‘ไมเคิล วอลดรอน’ (Michael Waldron) ผู้เขียนบท ‘Loki’ ที่ผ่านเรื่องราวเกี่ยวกับมัลติเวิร์สมาก่อน มาเขียนบทให้อีกด้วย ไม่เรียกว่าโดนเส้นก็ไม่รู้ว่าจะเรียกยังไงแล้วล่ะ
จา่กเหตุการณ์ความ เปลี่ยน แปลง ของหมอแปลก หลังกลายเป็นจอมเวทใน ‘Doctor Strange’ (2016) และหลังเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อความผิดพลาดต่อมัลติเวิร์สใน ‘Spider-Man : No Way Home’ (2021) ในภาคนี้ หมอแปลกจึงต้องกลับไปแก้ไขเรื่องราวต่าง ๆ
นานาที่ส่งผลสะเทือนรุนแรงต่อมัลติเวิร์ส เมื่อคุณหมอแปลก ‘ดร. สตีเฟน สเตรนจ์ / ดอกเตอร์สเตรนจ์’ (Benedict Cumberbatch) ต้องทรมานจากชีวิตรัก เมื่อ ‘คริสติน พาลเมอร์’ (Rachel McAdams) กำลังจะแต่งงานใหม่กับใครบางคนที่ไม่ใช่เขา เว็บดูหนัง
แถมยังต้อง ทรมาน ซ้ำสองจากฝันร้าย ในฝันเขาได้เข้าช่วยเหลือ ‘อเมริกา ชาเวซ’ (Xochitl Gomez) สาวน้อยผู้มีพลังในการทะลุผ่านมัลติเวิร์ส ที่กำลังถูกปีศาจจากต่างมิติไล่ดูดพลัง หมอแปลกพบว่า แท้ที่จริงแล้วทั้งหมดเป็นแผนของ ‘วันด้า แมกซิมอฟฟ์ / สการ์เลต วิตช์’ (Elizabeth Olsen) ที่ต้องการดูดพลังของอเมริกา ชาเวซ เพื่อใช้เดินทางไปพบกับลูกแฝดของเธอ (ที่เธอเชื่อว่ามีอยู่) ในอีกมิติ
ทำให้ดอกเตอร์สเตรนจ์และอเมริกา ชาเวซ ทะลุไปยังลอนดอนที่อยู่ในมิติอื่น จนได้เจอกับตัวแปรของ ‘คาร์ล มอร์โด’ (Chiwetel Ejiofor) อดีตเพื่อนร่วมสำนักคาร์มาทาจ (Kamar-Taj) ที่ไม่น่าไว้วางใจ และตัวแปรของ ‘คริสติน พาลเมอร์’ ที่ทำให้หมอแปลกหวั่นไหว ส่วน ‘หว่อง’ (Benedict Wong) จอมเวทสูงสุด ก็ต้องรับหน้าที่ปราบแม่มดสการ์เลต วิตช์ ที่ตอนนี้สามารถร่ายมนต์เพื่อสร้างความปั่นป่วนได้ในระดับมัลติเวิร์ส เพราะเธอได้ครอบครองคัมภีร์ดาร์กโฮลด์ (Darkhold) คัมภีร์เวทมนตร์ด้านมืดที่มีความอันตรายอย่างมาก
สรุปโดยรวม
ถ้า ‘Spider-Man : No Way Home’ (2021) และแอนิเมชันซีรีส์ ‘What If…?’ (2021) เปรียบเหมือนการซ้อมรับมือกับมัลติเวิร์ส ใน ‘Doctor Strange in the Multiverse of Madness’ ก็คือการลงสนามจริงแบบเต็มตัวล่ะครับ แถมยังเป็นการมาแบบเล่นใหญ่กันตั้งแต่เปิดเรื่องกันเลย เดินเรื่องแบบสายลุยไม่ต้องคุยให้เสียเวลา รวมทั้งสไตล์การกำกับจากไรมีที่ทำให้การดำเนินเรื่องในภาคนี้มีรสชาติที่ค่อนข้างแตกต่างออกไปจากภาคแรกอยู่มากพอสมควร
ความแตกต่างที่ชัดเจนมาก ๆ ก็คือ การที่ Marvel Studios เองเริ่มจะเอานโยบายเดินเรื่องยาวไม่เล่าปูมหลังย้อนความให้เสียเวลาผลก็คือตัวหนังสามารถกระชับเรื่องราวและเล่าแบบเร็ว ๆได้เลย ด้วยเหตุนี้ก็เลยทำให้หนังเรื่องนี้เดินเรื่องเร็วมาก แต่ข้อเสียก็คือ หนังเรื่องนี้อาจไม่เหมาะกับคนที่ยังไม่ได้ทำการบ้านด้วยการดูเรื่องอื่น ๆหรืออ่านคอมิกมาก่อน หรือแค่อยากลองชิมลางหนัง Marvel เฉย ๆ เพราะอาจมีเหวอจนตามไม่ทันว่า ตัวละครแต่ละตัวมีปูมหลังเชื่อมโยงกันยังไง อะไรที่เราควรจะรู้สึกเซอร์ไพรส์ ถ้าอยากดูจริง ๆ อย่างน้อยก็ต้องทำการบ้านมาในระดับหนึ่ง (สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ท้ายบทความครับ) เว็บดูหนังฟรี
รวมทั้งการเอาแซมไรมีผู้กำกับที่พอจะมีลายเซ็นชัดทั้งจังหวะสยองขวัญ มุกกวน ๆ มุมกล้อง การตัดต่อ การวางองค์ประกอบภาพแบบที่แฟนหนังคุ้นเคย นำเสนอด้วยกลิ่นอายหนังสยองขวัญคลาสสิกที่ได้อิทธิพลมาจากผลงานเก่า ๆ ของเขาเอง ทั้งไตรภาค ‘Evil Dead’, ‘Drag Me to Hell’ (2009) บวกกลิ่นแฟนตาซีแบบ ‘Oz the Great and Powerful’ (2013) นิดหน่อย ผสมความกวนแบบไตรภาค ‘Spider-Man’ ทำให้โทนโดยรวมมีความเป็นหนังสยองขวัญแบบแซมไรมีที่มีความฮาเพี้ยนระห่ำ(และฉากสยอง) แบบชนเพดานเรต PG-13 มากกว่าจะเป็นหนัง Marvel คลีน ๆ ดูได้ทั้งครอบครัวในแบบที่เราคุ้นเคย
ด้วยส่วนผสมทั้งหมดที่ว่ามา ทำให้ผู้เขียนรู้สึกได้ว่า ถ้าในอดีต ‘Evil Dead’ เคยถูกจัดเป็นหนังคัลต์ (Cult) ยังไง หนังเรื่องนี้ก็คือการหยิบเอาวิธีการแบบหนังคัลต์คลาสสิกมาใช้นั่นแหละ รวมทั้งพล็อต การดำเนินเรื่อง แรงจูงใจของตัวละครที่มีความคัลต์อยู่ในตัวทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังฮีโรMarvelที่แตกต่างด้วยกลิ่นอายของหนังสยองขวัญ และมีความเป็นหนังคัลต์ที่มีครบทั้งความบ้าคลั่งเพี้ยนกวนเบื้องล่างแบบที่แฟนหนังแซมไรมี จะกรี๊ดแน่นอน คือคงสู้หนังสยองขวัญจริง ๆ ไม่ได้หรอก แต่วิธีการนี้ก็ถือว่าโดนเส้น และไปด้วยกันกับเรื่องราวของหมอแปลกแห่งMarvelได้อย่างไม่น่าเชื่อ
การดำเนินเรื่อง แม้ตัวหนังจะ พยายามบิลต์ ว่าเป็นการเล่าเรื่อง เกี่ยวกับมัลติเวิร์ส แบบเต็มตัวตาม ชื่อภาค แต่ผู้เขียนก็แอบรู้สึกว่าการนำเสนอเกี่ยวกับมัลติเวิร์สก็ยังดูกั๊ก ๆ ไปหน่อยนะ ส่วนตัวบท ก็ถือว่าเข้าใจง่าย เป็นเส้นตรงและเป็นสูตรสำเร็จอยู่พอสมควร ยังดีที่ตัวหนังเองยังมีเซอร์ไพรส์และวิธีการดำเนินเรื่องแบบคัลต์ ๆสยองขวัญที่มีความดาร์กบ้าฮาสยองมาช่วยทำให้ตัวหนังที่ดูจะเดาง่าย และ มีการกระทำบางอย่างของตัวละครที่ดูไม่เมกเซนส์ยังมีความน่าสนใจอยู่รวมถึงงานซีจี ที่มีกลิ่นอายจากภาค ที่แล้ว แต่เพิ่มเติม ความแปลกใหม่เข้าไปโดยเฉพาะฉากทะลุมัลติเวิร์สและฉากร่ายมนต์ที่ตื่นตาและดีงามมาก ๆ
ดูหนังใหม่ได้ที่ เว็บหนังฟรี